สำนักข่าวตัสนีมรายงานว่า หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรปออกคำเตือนถึงผู้ปกครองคนใหม่ในกรุงดามัสกัส เนื่องจากจำนวนผู้เสียชีวิตจากการโจมตีนองเลือดโดยกองกำลังติดอาวุธในภูมิภาคที่มีชาวอลาวีเป็นส่วนใหญ่ในซีเรียเพิ่มสูงขึ้น
องค์กรสังเกตการณ์สิทธิมนุษยชนซีเรีย ร์ (Syrian Observatory for Human Rights -SOHR)ซึ่งเป็นหน่วยติดตามการสู้รบจากสหราชอาณาจักร รายงานเมื่อวันพุธว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากการโจมตีในซีเรียเมื่อเร็ว ๆ นี้ เพิ่มขึ้นเป็น 1,093 ราย
จากรายงานของกลุ่มสังเกตการณ์พบว่า พบศพ 44 ศพ ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเมืองบราชโบ และ 62 ศพในเมืองบานิยาส โดยรายงานว่า บุคคลเหล่านี้ถูกสังหารในสถานที่โดยกลุ่มคนที่สังกัดกระทรวงกลาโหมและความมั่นคงภายในรัฐบาลซีเรีย
ตามรายงาน ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา กองกำลังกระทรวงกลาโหมซีเรียร่วมกับกลุ่มติดอาวุธได้เริ่มปฏิบัติการโจมตีพื้นที่ที่มีชาวอลาวีเป็นส่วนใหญ่ในจังหวัดลาตาเกียและทาร์ทูส การโจมตีดังกล่าวส่งผลให้พลเรือนเสียชีวิตจำนวนมาก รวมถึงผู้หญิงและเด็ก โดยมียอดผู้เสียชีวิตเกิน 1,000 ราย
ก่อนหน้านี้ กลุ่มสังเกตการณ์สิทธิมนุษยชนซีเรีย (SOHR ) ได้บันทึกยอดผู้เสียชีวิตไว้ 1,014 ราย การโจมตีครั้งนี้ก่อให้เกิดการประณามอย่างกว้างขวางทั้งในระดับนานาชาติ ระดับภูมิภาค และระดับประเทศ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ซึ่งเป็นหนึ่งวันหลังจากที่การโจมตียุติลง รัฐบาลซีเรียที่นำโดยโจลานี ได้ประกาศจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อสอบสวนสถานการณ์และระบุตัวผู้รับผิดชอบ โดยอ้างว่าได้บรรลุเป้าหมายแล้ว
เพื่อเป็นการตอบโต้ต่อความรุนแรง นายคาจา คัลลาส หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป ออกมาเตือนว่า สหภาพยุโรปอาจพิจารณาฟื้นมาตรการคว่ำบาตรซีเรีย หากสถานการณ์ยังคงแย่ลงต่อไป
นักการเมืองชาวอิรักกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดในภูมิภาคที่ชาวอลาวีเป็นส่วนใหญ่ในซีเรียว่าเป็น "เหตุการณ์อันน่าสยดสยอง" และเรียกร้องให้ผู้ปกครองใหม่ในดามัสกัสใช้มาตรการที่เป็นจริงและมีประสิทธิผลแทนที่จะใช้ความรุนแรง
ฮาดี อัล-อามีรี หัวหน้าองค์กรบาดร์ของอิรัก ประณามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในซีเรีย โดยระบุว่า “ความรุนแรงไม่สามารถรักษาการปกครองเอาไว้ได้” อัล-อามีรีให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวแห่งชาติของอิรัก INA ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดในซีเรีย กาซา และเลบานอน ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่ออิรัก
เขาย้ำว่า อิรักในปัจจุบันไม่เหมือนกับเมื่อปี 2014 ที่พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศตกอยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มไอซิส (ISIS) เขากล่าวว่า พรมแดนของอิรักกับซีเรียได้รับการรักษาความปลอดภัยอย่างสมบูรณ์แล้ว
อัล-อามิรี ยังยืนยันอีกว่า อิรักได้ก้าวข้ามความขัดแย้งทางนิกายและศาสนาไปแล้ว โดยผู้นำทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนมุ่งมั่นที่จะปกป้องประเทศจากภัยคุกคามจากภายนอก
ในส่วนของการยึดครองของอิสราเอล เขาได้ยืนกรานว่า การต่อต้านการยึดครองไม่สามารถปราบปรามได้ด้วยกำลัง โดยเรียกมันว่า เป็นการเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติและถูกต้องตามกฎหมาย
เกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในซีเรีย อัล-อามิรีเตือนว่า การสังหารชาวอลาวีเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทำให้ชาวซีเรียเกิดความกลัว และเน้นย้ำว่า "ความรุนแรงไม่ใช่วิธีการปกครองที่เหมาะสม"
เขากล่าวเสริมว่า เสถียรภาพในซีเรียส่งผลดีต่ออิรัก โดยกล่าวว่า "เราคาดหวังว่า ผู้นำซีเรียจะดำเนินการจริง ไม่ใช่แค่คำพูด" นอกจากนี้ เขายังเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของอิรักในการรักษาเสถียรภาพและป้องกันไม่ให้สถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้นในภูมิภาค
อัล-อามีรี สรุปด้วยการเน้นย้ำว่า รัฐบาลผสมของอิรักซึ่งประกอบด้วยกลุ่มชีอะห์ ซุนนี และเคิร์ด มีบทบาทสำคัญในการลดความตึงเครียดและรักษาความสงบเรียบร้อย
ที่มา : สำนักข่าวตัสนีม
Copyright © 2025 SAHIBZAMAN.NET- สื่อเรียนรู้สำหรับอิสระชนคนรุ่นใหม่