ฤดูหนาวนิวเคลียร์ สถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้น : สงครามนิวเคลียร์ระหว่างอินเดียและปากีสถาน
ฤดูหนาวนิวเคลียร์ สถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้น : สงครามนิวเคลียร์ระหว่างอินเดียและปากีสถาน

สงครามนิวเคลียร์ ความกังวลจะกลายเป็นจริงหรือไม่? การคำนวณผิดพลาดเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้ความขัดแย้งระหว่างสองมหาอำนาจทางนิวเคลียร์กลายเป็นภัยพิบัติที่เลวร้ายที่สุดที่มนุษยชาติเคยพบเห็นนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง

    ความตึงเครียดทางทหารระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้านนี้เพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกัน โลกก็กำลังติดตามข่าวการเกิดสงครามระหว่างสองประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ด้วยความกังวล

    The Independent เขียนว่า : "ผลการศึกษาวิจัยโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Rutgers ในสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่าในกรณีที่เกิดสงครามนิวเคลียร์ระหว่างปากีสถานและอินเดีย อาจมีผู้เสียชีวิตราว 100 ล้านคนในเวลาเพียงไม่กี่นาที"

    โลกที่ตกตะลึงและโศกเศร้ากับการเสียชีวิตของชาวปาเลสไตน์มากกว่า 60,000 คน จะเผชิญกับการเสียชีวิตของผู้คนนับล้านได้อย่างไร?

    ภัยพิบัติครั้งนี้จะมาพร้อมกับการทำลายโครงสร้างพื้นฐานอย่างกว้างขวางและการเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ ควันที่เกิดขึ้นจะเติมเต็มชั้นบรรยากาศของโลกและนำไปสู่ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “ฤดูหนาวนิวเคลียร์” ปรากฏการณ์ที่อาจนำไปสู่ภาวะขาดแคลนอาหารทั่วโลก

    อินเดียมีหัวรบนิวเคลียร์ 160 ลูก และยังติดตั้งเทคโนโลยีขีปนาวุธพิสัยไกลอีกด้วย

    ปากีสถานก็มีหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 165 ลูก และจะดำเนินนโยบายที่เรียกว่า "การป้องปรามผ่านการใช้งานในระยะเริ่มต้นอย่างทันท่วงที" นั่นหมายความว่าในกรณีที่เกิดการโจมตีในวงกว้าง มันจะตอบโต้ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ทันที

    อย่างไรก็ตาม ตามที่นักวิเคราะห์กล่าวไว้ ปัญหาที่อันตรายที่สุดคือทั้งสองประเทศนี้ไม่มีระบบป้องกันขีปนาวุธขั้นสูงและความสามารถในการ “โจมตีครั้งที่สองเพื่อเป็นเป็นหลักประกัน” ซึ่งอาจทำให้การโจมตีตอบโต้กันด้วยอาวุธนิวเคลียร์ จะกลายเป็นหายนะที่รวดเร็วและควบคุมไม่ได้

การวิเคราะห์อนาคตของการรีเซ็ตประชากรโลก

    ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่กลุ่มนักคิด (Think tank) ผู้ออกแบบ "ระเบียบโลกใหม่" จะจุดไฟสงครามนิวเคลียร์ระดับโลกขึ้นเพื่อลดจำนวนประชากรโลกและขยายอำนาจปกครองโลก และที่สำคัญที่สุดคือ เพื่อส่งเสริมความเชื่อทางศาสนาของคริสเตียนนิกายอีแวนเจลิคัล [1] ว่าตามการตีความพระคัมภีร์ [2] ผู้คนสองในสามของโลกจะถูกฆ่าตายก่อนที่พระคริสต์จะเสด็จมา [3]

    นอกจากนี้ มีคนเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้นที่ต้องการทำการเข่นฆ่าและสังหารหมู่ผู้คนในวงกว้างเพื่อสถาปนาอำนาจอธิปไตยของตนในโลก นั่นก็คือชาวยิว เนื่องจากนอกเหนือจากประชากรของพวกเขาที่มีจำนวนน้อย [4] แล้ว การอ้างว่าพวกเขาเป็นผู้ได้รับเลือกจากพระเจ้าและเหตุผลทางศาสนาต่างๆ ในการก่อสงครามก็ไม่อาจมองข้ามได้เช่นกัน

    ทัศนคติแบบไซออนิสต์ได้เปลี่ยนสงครามให้กลายเป็น “เรื่องศักดิ์สิทธิ์และเรื่องของศรัทธา” [5]

    คงไม่น่าแปลกใจหากพวกเขาจะจุดชนวนให้เกิดสงครามโลกในส่วนต่างๆ ของโลกและมองดูการสังหารผู้คนจำนวนมากทั่วโลก

    ดังนั้นวิกฤตความขัดแย้งระหว่างอินเดียและปากีสถาน «خَرَابُ السِّنْدِ مِنَ الهِنْدِ» (การถูกทำลายของซินด์จะเกิดจากอินเดีย) จีนและอินเดีย «وَخَرَابُ الْهِنْدِ مِنَ الصِّينِ» (และการถูกทำลายของอินเดียจะเกิดจากจีน) [6] และ... ซึ่งเป็นศูนย์กลางของประชากรจำนวนมหาศาลและในขณะเดียวกันก็มีระเบิดนิวเคลียร์อยู่ในครอบครอง เป็นหนึ่งในแผนการของชาวยิวและลัทธิไซออนิสต์ที่ต้องการกำจัดประชากรโลกหลายพันล้านคนโดยเร็วและในความเชื่อของพวกเขา พวกเขากำลังดำเนินการในขั้นตอนสุดท้ายของการเสด็จกลับมาของพระผู้ช่วยให้รอด [7]


เชิงอรรถ :

[1] อะห์มัดวัน, “จุดสิ้นสุดเวลาจากมุมมองของสำนักคิดคริสเตียนไซออนิสต์”, วารสาร มัชริก เมาอูด, เล่มที่ 14, หน้า 99-124 (ภาษาเปอร์เซีย)

[2] จากข้อความในพระคัมภีร์ พวกเขาทำนายว่าประชากรของโลกสองในสามจะถูกฆ่า : "พระยาห์เวห์ตรัสว่า “ทั่วทั้งแผ่นดินจะต้องกำจัดสองในสามให้พินาศไปเสีย และเหลือไว้หนึ่งในสาม" ..." (เศคาริยาห์ 13:8-9)

[3] กลุ่มหัวรุนแรง (Fundamentalism) อ้างข้อความต่างๆ จากพระคัมภีร์ และระบุว่า สงครามอาร์มาเก็ดดอนจะเป็นสงครามนิวเคลียร์ (เอเสเคียล 38:18-20, เศคาริยาห์ 14:12-15, วิวรณ์ 16:12-16)

[4] ชาวยิวมีจำนวนหลายล้านคนและถือเป็นกลุ่มน้อยมากเมื่อเทียบกับประชากรของศาสนาอื่น โดยเฉพาะชาวมุสลิมซึ่งมีอยู่ประมาณหนึ่งพันห้าร้อยล้านคน

[5] ฮาล เซล, การเตรียมพร้อมสำหรับมหาสงคราม, หน้า 5 71; ซิยาห์, "อาร์มาเก็ดดอนและคริสเตียนไซออนิสต์", วารสาร อันดีเชะฮ์ ตักรีบ, เล่มที่ 1 20, หน้า 57 (ภาษาเปอร์เซีย)

[6] อิบนุ ชะฮ์รอชูบ, อัลมะนากิบ, เล่ม. 2, หน้า 274

[7] ดีนพะนอฮ์, “การตรวจสอบคำทำนายในพันธสัญญาเดิมเกี่ยวกับการสังหารหมู่ก่อนการเสด็จมาของพระคริสต์” วารสาร มัชริก เมาอูด, เล่มที่ 41, หน้า 340-341 (ภาษาเปอร์เซีย)


ที่มา : มุศฏอฟา อะมีรี

Copyright © 2025 SAHIBZAMAN.NET- สื่อเรียนรู้สำหรับอิสระชนคนรุ่นใหม่

ผู้เยี่ยมชมอยู่ขณะนี้

มี 479 ผู้มาเยือน และ ไม่มีสมาชิกออนไลน์ ออนไลน์

26016134
Today
Yesterday
This Week
Last Week
This Month
Last Month
All days
4202
4460
31242
25951709
46068
157882
26016134

ส 10 พ.ค. 2025 :: 22:55:12