สงครามจิตวิทยาของบนีอุมัยยะฮ์ในการต่อต้านอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.)
Powered by OrdaSoft!
No result.
สงครามจิตวิทยาของบนีอุมัยยะฮ์ในการต่อต้านอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.)

การดำเนินการที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งของบนีอุมัยยะฮ์ในการแยกประชาชนให้ออกห่างจากอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) คือการสร้างสงครามจิตวิทยา เป็นเรื่องน่าเศร้าใจที่ประชาชนจำนวนมากตกเป็นเหยื่อของสงครามนี้ในช่วงเวลานั้น และได้แสดงความเคียดแค้นและความเกลียดชังต่อท่านอิมามฮุเซน (อ.) และครอบครัวของท่านในช่วงเหตุการณ์อาชูรอ

    อีกชื่อหนึ่งของสงครามจิตวิทยาคือสงครามด้านกระบวนความคิด (cognitive warfare) หรือการล้างสมอง เนื่องจากในสงครามประเภทนี้ศัตรูจะทำลายความเข้าใจและการรับรู้ของมนุษย์ที่มีต่อข้อเท็จจริงและทำให้ดูกลับตาลปัตร นั่นคือเหตุผลว่าทำไมประสิทธิภาพของสงครามประเภทนี้จึงสูงกว่าสงครามในรูปแบบปกต (Hardwar) มากนัก

    เราจำเป็นต้องรู้ว่า บรรดาศัตรูของอิสลามไม่ได้ทำสงครามกับความเชื่อของเราในรูปแบบและวิธีการเดียวกันเสมอไป แต่พวกเขาจะเปลี่ยนแปลงสงครามต่างๆ ของพวกเขาไปตามกลยุทธ์ แนวทางและเป้าหมายที่พวกเขาต้องการ

    ในสงครามจิตวิทยา การสมคบคิดและยุทธวิธีทั้งหมดของบรรดาศัตรูของอิสลามนั้น คือการมองไม่เห็น ความมืดบอดและมืดมน และความมืดบอด ความมืดมน และการมองไม่เห็นนี้เป็นสัญญาณบ่งบอกให้รู้ว่าแผนการของศัตรูในการทำสงครามจิตวิทยานั้นมีพื้นฐานอยู่บนความเข้าใจและการรับรู้ของประชาชน ด้วยเหตุนี้ จึงไม่สามารถมองเห็นศัตรูได้เลย แต่แผนสมคบคิดและการล่อลวงต่างๆ ของพวกเขาเพียงเท่านั้นที่เชื่อมโยงกันในรูปแบบของการยุยงปลุกปั่น (ฟิตนะฮ์) ดังที่พระเจ้าผู้ทรงสูงส่งทรงตรัสไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานว่า :

         إِنَّهُ يَرَاكُمْ هُوَ وَقَبِيلُهُ مِنْ حَيْثُ لَا تَرَوْنَهُمْ  إِنَّا جَعَلْنَا الشَّيَاطِينَ أَوْلِيَاءَ لِلَّذِينَ لَا يُؤْمِنُونَ 

          "แท้จริงทั้งมัน (ชัยฏอน) และเผ่าพันธุ์ของมันมองเห็นพวกเจ้า โดยที่พวกเจ้าไม่เห็นพวกมัน แท้จริงเราได้ให้บรรดาชัยฏอนเป็นมิตรกับบรรดาผู้ที่ไม่ศรัทธา" (1)

    บนีอุมัยยะฮ์เองก็ได้เข้าสู่สงครามกับอะฮ์ลุลบัยต์ของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) โดยอาศัยสงครามด้านกระบวนความคิด (cognitive warfare) หรือการล้างสมองประชาชน เนื่องจากพวกเขาได้ทำให้ความเข้าใจและการรับรู้ของประชาชนเกี่ยวกับบรรดามะอ์ซูม (อ.) ในสมัยนั้นแปดเปื้อน ท่านอิมามอะลี (อ.) ถือว่าสงครามและฟิตนะฮ์ (การปลุกปั่น) นี้เป็นฟิตนะฮ์ที่เลวร้ายที่สุดและน่ากลัวที่สุด เนื่องจากมันมองไม่เห็นและมืดมน และไม่สามารถที่จะรับรู้ได้โดยง่ายดาย และการปฏิบัติการกับการรับรู้ในลักษณะนี้ถือเป็นสิ่งที่มีความซับซ้อน ดังที่ท่านกล่าวว่า :

أَلَا وَ إِنَّ أَخْوَفَ الْفِتَنِ عِنْدِي عَلَيْكُمْ فِتْنَةُ بَنِي أُمَيَّةَ، فَإِنَّهَا فِتْنَةٌ عَمْيَاءُ مُظْلِمَةٌ، عَمَّتْ خُطَّتُهَا وَ خَصَّتْ بَلِيَّتُهَا، وَ أَصَابَ الْبَلَاءُ مَنْ أَبْصَرَ فِيهَا وَ أَخْطَأَ الْبَلَاءُ مَنْ عَمِيَ عَنْهَا. وَ ايْمُ اللَّهِ لَتَجِدُنَّ بَنِي أُمَيَّةَ لَكُمْ أَرْبَابَ سُوءٍ بَعْدِي كَالنَّابِ الضَّرُوسِ تَعْذِمُ بِفِيهَا وَ تَخْبِطُ بِيَدِهَا وَ تَزْبِنُ بِرِجْلِهَا وَ تَمْنَعُ دَرَّهَا، لَا يَزَالُونَ بِكُمْ حَتَّى لَا يَتْرُكُوا مِنْكُمْ إِلَّا نَافِعاً لَهُمْ أَوْ غَيْرَ ضَائِرٍ بِهِمْ، وَ لَا يَزَالُ بَلَاؤُهُمْ عَنْكُمْ حَتَّى لَا يَكُونَ انْتِصَارُ أَحَدِكُمْ مِنْهُمْ إِلَّا [مِثْلَ انْتِصَارِ] كَانْتِصَارِ الْعَبْدِ مِنْ رَبِّهِ وَ الصَّاحِبِ مِنْ مُسْتَصْحِبِهِ؛ تَرِدُ عَلَيْكُمْ فِتْنَتُهُمْ [شَوْهاً] شَوْهَاءَ مَخْشِيَّةً وَ قِطَعاً جَاهِلِيَّةً، لَيْسَ فِيهَا مَنَارُ هُدًى وَ لَا عَلَمٌ يُرَى

          "พึงรู้เถิดว่า แท้จริงฟิตนะฮ์ที่ฉันกล้วที่สุดต่อพวกท่านคือ ฟิตนะฮ์ของบนีอุมัยยะฮ์ เพราะแท้จริงมันเป็นฟิตนะฮ์ที่มืดบอดและมืดมน และเรื่อง (การปกครอง) ของมันนั้นครอบคลุมทุกด้าน (และทุกคนอยู่ภายใต้แรงกดดันของรัฐบาลที่กดขี่นั้น) แต่ความทุกข์ยากทั้งหลายของมันนั้นจะเกิดขึ้นเฉพาะกับคนบางกลุ่มเท่านั้น และใครก็ตามที่รอบรู้และมองเห็นฟิตนะฮ์ (และต่อสู้กับมัน) ความทุกข์ยากก็จะมาประสบกับเขา และผู้ใดตาบอดต่อสิ่งนั้น ก็จะไม่มีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นกับเขา ขอสาบานต่ออัลลอฮ์! หลังจากฉัน พวกจะพบว่าบนีอุมัยยะฮ์เป็นผู้ปกครองที่เลวร้ายสำหรับพวกท่าน!  พวกเขาเป็นเหมือนอูฐแก่นิสัยเลวที่กัดเจ้าของมัน มันจะใช้เท้าหน้าเหยียบและใช้เท้าหลังดีดเขาออกไป และห้ามเขาไม่ให้เธอรีดนม พวกเขาจะยังคงปฏิบัติเช่นนั้นกับพวกท่านต่อไป (ทำลายคนดีและบรรดานักต่อสู้) เว้นแต่จะเป็นไปในทางที่เป็นประโยชน์แก่พวกเขา หรืออย่างน้อยก็ไม่เป็นผลเสียหายแก่พวกเขา ความทุกข์ยากและการกดขี่ของพวกเขาต่อพวกท่านจะยังคงดำเนินต่อไปจนกว่า (คุณจะไม่พบที่พึ่งพิงและ) การช่วยเหลือสำหรับคนใดจากพวกท่านที่จะได้รับจากพวกเขานั้นจะเป็นเหมือนการขอความช่วยเหลือของทาสที่ขอจากนายของเขา หรือเหมือนกับเพื่อที่ขอพึ่งพิงเขาจาก (การละเมิดของเพื่อนของตน) (ใช่แล้ว!) ฟิตนะฮ์ของพวกเขาจะมาถึงยังพวกท่านอย่างต่อเนื่อง ด้วยรูปลักษณ์ที่น่าเกลียดน่ากลัวพร้อมด้วยจารีตประเพณีต่างๆ แบบญาฮิลียะฮ์ (ยุคมืด) ในเวลานั้นจะไม่มีทั้งประกายแสงแห่งการชี้นำและธงสัญลักษณ์ที่จะมองเห็นทางรอด" (2)

    ด้วยสงครามการล้างสมองนี้ ศัตรูจะเปลี่ยนประชาชนทั่วไป (อะวาม) ที่ไม่มีความเข้าใจลึกซึ้ง (บะซีเราะฮ์) เพียงพอให้กลายเป็นทหารราบของตน แน่นอนจำเป็นต้องระวังว่าอย่าได้เข้าสู่สงครามกับบรรดาผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของสงครามจิตวิทยา แต่เราควรจัดเตรียมบริบทสำหรับการชี้นำและเปลี่ยนความเชื่อในตัวเขาให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ด้วยพฤติกรรมการแสดงออกของเราและ "ญิฮาด ตับยีนี" (ความพยายามในการอธิบายและให้ความกระจ่าง) ตัวอย่างเช่น บนีอุมัยยะฮ์สามารถแนะนำท่านอิมามฮุเซน (อ.) ให้ประชาชนแต่ละคนมองเห็นว่าท่านเป็นผู้ละเมิด ห่างไกลจากตรรกะของอัลกุรอานและศีลธรรม แต่ท่านอิมาม (อ.) นั้นพยายามอยู่เสมอที่จะหยุดผลกระทบเชิงลบต่างๆ ของสงครามนี้ด้วย"ญิฮาด ตับยีนี" (ความพยายามในการอธิบายและให้ความกระจ่าง) และการแสดงออกทางพฤติกรรมของท่าน ซึ่งเราจะกล่าวถึงตัวอย่างหนึ่งในที่นี้ :

    อิซอม บิน มุศฏอลิก ได้พบท่านอิมามฮุเซน (อ.) ในมะดีนะฮ์ เขาซึ่งเป็นหนึ่งในเหยื่อของสงครามล้างสมองของยะซีดเพื่อให้ต่อต้านและเป็นศัตรูต่อท่านอิมามฮุเซน (อ.) เมื่อเขาเห็นท่านอิมาม เขาก็เผยให้เห็นถึงความเป็นศัตรูและความเกลียดชังของเขาที่มีต่อท่าน และเมื่อเขาเข้าไปใกล้ท่าน เขาก็กล่าวว่า : "เจ้าเป็นบุตรชายของอบูตุรอบใช่หรือไม่?" (เขาใช้คำว่าอบูตุรอบเพื่อแสดงการดูหมิ่นเหยียดหยามท่านอิมามอะลี (อ.))

    ท่านอิมามกล่าวว่า : ใช่

    จากนั้นเขาก็ดูหมิ่นท่านอิมามฮุเซน (อ.) และบิดาผู้มีเกียรติของท่านมากเท่าที่เขาจะทำได้

    แต่ท่านอิมาม (อ.) ได้อ่านโองการเหล่านี้แก่เขาด้วยความเมตตาว่า :

                            خُذِ الْعَفْوَ وَأْمُرْ بِالْعُرْفِ وَأَعْرِضْ عَنِ الْجَاهِلِينَ

           "จงให้อภัย จงกำชับความดีและจงผินห่างออกจากผู้ไม่รู้ทั้งหลายเถิด (และอย่าต่อสู้กับพวกเขา)" (3)

    จากนั้นท่านกล่าวว่า : จงทำตัวตามสบายเถิด และฉันจะขอการอภัยโทษจากอัลลอฮ์แก่ตัวฉันเองและแก่ท่าน หากท่านจะขอความช่วยเหลือใดๆ จากฉัน ฉันจะช่วยเหลือท่าน และหากท่านต้องการสิ่งใด ฉันจะให้แก่ท่าน และหากท่านขอให้ฉันชี้ทาง ฉันก็จะชี้ทางแก่ท่าน

    เมื่ออิซอม บิน มุศฏอลิกรู้สึกสำนึกเสียใจอย่างรุนแรงกับคำพูดและการกระทำของตน ท่านอิมาม (อ.) ได้อ่านโองการนี้ว่า :

                     لَا تَثْرِيبَ عَلَيْكُمُ الْيَوْمَ  يَغْفِرُ اللَّهُ لَكُمْ  وَهُوَ أَرْحَمُ الرَّاحِمِينَ

          “วันนี้ไม่มีการตำหนิใดๆ ต่อพวกท่าน วันนี้อัลลอฮ์จะทรงอภัยโทษให้พวกท่าน และพระองค์ทรงเมตตายิ่งในบรรดาผู้เมตตาทั้งหลาย" (4)

    อิซอมเมื่อเห็นการแสดงออกเหล่านี้และมารยาทที่ดีงามของท่านอิมาม (อ.) ต่อความอุกอาจและการดูถูกเหยียดหยามของเขา เขารู้สึกละอายใจอย่างมากจนอยากจะมุดหัวลงสู่พื้นดิน! จากนั้นเขาจึงต้องหลบเข้าไปในหมู่ผู้คนให้พ้นจากสายตาของท่านอิมาม และตราบที่เขายังมีชีวิตอยู่ ไม่มีใครที่เขารักมากไปกว่าท่านอิมามฮุเซน (อ.) และบิดาผู้มีเกียรติของท่านอีกเลย (5)


แหล่งที่มา :

(1.) อัลกุรอานบทอัลอะอ์รอฟ โองการที่ 27

(2.) นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์, สุนทรพจน์ที่ 93

(3.) อัลกุรอานบทอะอ์รอฟ โองการที่ 199

(4.) อัลกุรอานบทยูซุฟ โองการที่ 92

(5.) นะฟะซุลมะฮ์มูม, เชคอับบาส กุมมี, หน้าที่ 558


บทความ : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ

Copyright © 2024 SAHIBZAMAN.NET- สื่อเรียนรู้สำหรับอิสระชนคนรุ่นใหม่

ผู้เยี่ยมชมอยู่ขณะนี้

มี 475 ผู้มาเยือน และ ไม่มีสมาชิกออนไลน์ ออนไลน์

23290713
Today
Yesterday
This Week
Last Week
This Month
Last Month
All days
49709
52537
154542
22752902
1175190
1600060
23290713

อ 22 ต.ค. 2024 :: 23:30:07