ท่านฮูเซน บินอะลี (อ.) กล่าวถึงบุคคลสองกลุ่มที่มีลักษณะตรงข้ามกัน และกล่าวถึงผู้นำสองประเภทไว้ในคำพูดของท่าน โดยอ้างอิงไปยังโองการอัลกุรอานสองโองการ โดยที่บุคคลแต่ละกลุ่มก็จะยึดถือปฏิบัติตามผู้นำหนึ่ง และจะได้รับแรงบันดาลใจในเรื่องของแนวคิดและทัศนคติต่าง ๆ จากผู้นำของตนเอง ซึ่งในสนามและเวทีแห่งการดำเนินชีวิตมันได้ปรากฏให้เห็นถึงบุคคลกลุ่มต่าง ๆ และผู้นำทั้งสองประเภทนี้ และมันจะเป็นเช่นนี้ต่อไปในทุกยุคสมัย
จำเป็นที่เราจะต้องทำความรู้จักกับผู้นำเหล่านี้ด้วยกับแบบแผนการดำเนิน ชีวิตของพวกเขา และเราจะต้องยึดมั่นปฏิบัติตามผู้นำซึ่งเรียกร้องเชิญชวนเราไปสู่หนทางแห่ง ทางนำและความไพบูลย์
ผู้นำ (อิมาม) ประเภทต่าง ๆ
ท่านฮูเซน บินอะลี (อ.) กล่าวถึงบุคคลสองกลุ่มที่มีลักษณะตรงข้ามกัน และกล่าวถึงผู้นำสองประเภทไว้ในคำพูดของท่าน โดยอ้างอิงไปยังโองการอัลกุรอานสองโองการ โดยที่บุคคลแต่ละกลุ่มก็จะยึดถือปฏิบัติตามผู้นำหนึ่ง และจะได้รับแรงบันดาลใจในเรื่องของแนวคิดและทัศนคติต่างๆ จากผู้นำของตนเอง ซึ่งในสนามและเวทีแห่งการดำเนินชีวิตมันได้ปรากฏให้เห็นถึงบุคคลกลุ่มต่างๆ และผู้นำทั้งสองประเภทนี้ และมันจะเป็นเช่นนี้ต่อไปในทุกยุคสมัย จำเป็นที่เราจะต้องทำความรู้จักกับผู้นำเหล่านี้ด้วยกับแบบแผนการดำเนิน ชีวิตของพวกเขา และเราจะต้องยึดมั่นปฏิบัติตามผู้นำซึ่งเรียกร้องเชิญชวนเราไปสู่หนทางแห่ง ทางนำและความไพบูลย์
คำตอบสำหรับคำถามอีกข้อหนึ่ง
นี่คือคำพูดของท่านอิมาม (อ.) ที่มีขึ้น ณ สถานที่พักแห่งซะอ์ละบียะฮ์ โดยที่ชายผู้หนึ่งจากชาวกูฟะฮ์ได้เข้ามาพบท่าน และในระหว่างการสนทนาอยู่นั้นท่านอิมาม (อ.) ถามเขาว่า “เจ้าเป็นคนจากเมืองใด” เขาตอบว่า “เป็นชาวเมืองกูฟะฮ์”
ท่านอิมาม (อ.) จึงกล่าวกับเขาเช่นนี้ว่า “พึง รู้ไว้เถิด ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ หากว่าฉันได้พบกับเจ้า ณ นครมะดีนะฮ์ แน่นอนยิ่ง ฉันจะแสดงให้เจ้าเห็นร่องรอยของญิบรออีลในบ้านของเรา (1) และ (ร่องรอย) ของวะฮ์ยูที่เขาได้นำลงมาให้แก่ตาของฉัน โอ้สหายชาวกูฟะฮ์เอ๋ย ณ ที่เราเท่านั้นคือขุมคลังแห่งความรอบรู้ หรือว่าเราคือผู้โง่เขลากระนั้นหรือ สิ่งนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน” (2)
คำพูดดังกล่าวของท่านอิมาม (อ.) ซึ่งถูกอ้างไว้ในหนังสือ “บาซออิรุดดารอญาต” และ “อุศูลุลกาฟีย์” แสดงให้เห็นว่าท่านอิมาม (อ.) ได้ยกคำพูดนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นการตอบคำถามอย่างหนึ่งต่อบุรุษจากเมืองกูฟะฮ์ ผู้นี้ เราได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่เท่าที่โอกาสจะอำนวย ในการค้นคว้าหาต้นกำเนิดของคำถาม เพื่อว่ามันจะได้ทำให้คำพูดและการสนทนาข้างต้นของท่านอิมาม (อ.) เป็นที่ชัดเจนขึ้น แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ต้นกำเนิดของคำถามดังกล่าวยังไม่ถูกค้นพบในขณะนี้
แต่อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของคำพูดของท่านอิมาม (อ.) โดยเฉพาะประโยคที่ว่า “ดังนั้นพวกเราเป็นผู้โง่เขลา” ซึ่ง มันถูกนำมาใช้ในรูปของคำถามในเชิงปฏิเสธ เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าบุคคลที่ท่านอิมาม (อ.) สนทนาด้วยนั้น เป็นบุรุษที่ไม่มีความรู้และไม่มีความเข้าใจดีพอ และเป็นผู้ที่มองเหตุการณ์เพียงภายนอก เขามองการลุกขึ้นเผชิญหน้ากับบนีอุมัยยะฮ์ของท่านอิมาม (อ.) ในครั้งนี้เป็นเหมือนขบวนการต่อต้านคัดค้านกับรัฐบาลทั่วๆ ไป ดังนั้นเขาจึงแสดงออกด้วยการคัดค้านต่อขบวนการของท่านอิมาม แม้ท่านอิมาม (อ.) จะอธิบายให้เห็นถึงความเสียหายและอาชญากรรมต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นจากน้ำมือของวงศ์วานแห่งบนีอุมัยยะฮ์ในครั้งนี้ ซึ่งมันปรากฏให้เห็นภายหลังจากที่ “คอตามุลอัมบิยาอ์” (ศาสดาท่านสุดท้าย) ผู้เป็นผู้นำแห่งอิสลาม
จนในที่สุดวงศ์วานแห่งบนีอุมัยยะฮ์ (ซึ่งตลอดเวลาพวกเขาเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของอิสลามและอัลกุรอาน) ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งการเป็นเจ้าเมืองและผู้ปกครองประชาชาติมุสลิม พวกเขาสร้างความแปดเปื้อนให้เกิดขึ้นด้วยการก่ออาชญากรรมและสร้างความเสื่อม เสียต่างๆ ภายใต้นามแห่งอิสลาม และพวกเขาได้บิดเบือนและสร้างเรื่องไร้สาระให้เกิดขึ้นกับอิสลามอย่างมากมาย แต่ถึงกระนั้นก็ตาม บุรุษแห่งกูฟะฮ์ผู้นั้นก็ยังไม่เข้าใจในคำตอบของท่านอิมาม (อ.) เขามองแบบแผนทั้งหมดเหล่านั้นเช่นเดียวกับมุสลิมบางส่วนที่มีสายตาสั้น โดยยึดถือว่าอะมั้ลและพฤติกรรมต่างๆ รวมทั้งการถือศีลอด การนมาซญุมอะฮ์และญามาอะฮ์ต่างๆ ที่วงศ์วานแห่งบนีอุมัยยะฮ์ได้กระทำกันนั้น ถือเป็นหลักฐานและข้อพิสูจน์ถึงความเป็นสัจธรรมและความถูกต้องของบุคคลเหล่า นั้น
สิ่งที่ได้รับจากคำพูดของท่านอิมาม (อ.)
จากคำกล่าวข้างต้นของท่านอิมาม (อ.) เราสามารถนำแง่คิดต่างๆ มาใช้ได้อย่างมากมาย แต่ด้วยกับคำอธิบายที่ถูกกล่าวถึงไปแล้วข้างต้นว่า คำพูดดังกล่าวนี้จะดึงดูดความสนใจของเราไปยังประเด็นหนึ่งซึ่งมีความสำคัญ กว่าประเด็นอื่นๆ นั่นก็คือ กฎเกณฑ์พื้นฐานประการหนึ่งที่ปรากฏอยู่ในคำพูดของท่านอิมาม (อ.) ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ที่สามารถมั่นใจได้ว่า “เจ้าของบ้านย่อมมีความรอบรู้มากกว่า (บุคคลอื่น) เกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในบ้าน” หมายความว่า สิ่งต่างๆ และสถานการณ์ต่างๆ ที่ดำเนินไปภายในบ้าน ย่อมไม่มีบุคคลอื่นใดที่จะรอบรู้ได้มากกว่าเจ้าของบ้าน จากกฎเกณฑ์ดังกล่าวนี้เราสามารถนำมาใช้แก้ปัญหาความขัดแย้งและความเป็นฝัก ฝ่ายที่เกิดขึ้นในหมู่ประชาชาติมุสลิม ภายหลังจากการเสียชีวิต (วะฟาต) ของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) ได้
อธิบายเพิ่มเติม : แนวทางสองแนวทางอันได้แก่ ชีอะฮ์และซุนนะฮ์ อันที่จริงแล้วในเรื่องของอุศูลุดดีนและฟุรูอุดดีนนั้น มีความสอดคล้องและมีความเหมือนกันในหลายๆ เรื่อง เช่นเรื่องของ “เตาฮีด” (การยอมรับในเอกภาพของพระผู้เป็นเจ้า) “นุบูวะฮ์” (ความเป็นศาสดา) “มะอาด” (วันกิยามะฮ์) และในเรื่องอัลกุรอาน, กิบลัต, นมาซ, ซะกาต, ฮัจญ์ ส่วนปัญหาอื่นๆ จะมีความขัดแย้งกันก็แต่เฉพาะปัญหาปลีกย่อยบางส่วนเท่านั้น และในเรื่องอุศูลุดดีนแม้จะมีทัศนะที่แตกต่างกันบ้างแต่ก็เพียงเล็กน้อย เช่นเรื่องของ “อิมามัต” (ความเป็นผู้นำ) ซึ่งหากเราสามารถทำลายความอคติด้วยการเสริมสร้างความเข้าใจที่ดีต่อกัน ด้วยการตรวจสอบค้นคว้าวิจัยในทางวิชาการ พวกเขาก็สามารถรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างสมบูรณ์ และสายธารสองสายก็จะกลายมาเป็นสายธารหลักอันเดียวซึ่งเป็นความประสงค์ขอ งอัลลอฮ์ (ซบ.) และศาสนทูตของพระองค์ (ซ็อลฯ)
แต่ทว่าปัญหาต่างๆ ที่เกิดเป็นความขัดแย้งกันอยู่ในขณะนี้นั้น สัจธรรมและความถูกต้องอยู่กับฝ่ายใดเล่า! นี่คือคำถามซึ่งมีคำตอบอยู่มากมาย ทั้งคำตอบที่เป็นสากลและคำตอบที่เป็นการเฉพาะ และหนึ่งจากคำตอบที่เป็นสากลนั้นก็คือกฎเกณฑ์ที่ว่า “เจ้าของบ้านย่อมมีความรอบรู้มากกว่า (บุคคลอื่น) เกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในบ้าน” ซึ่งเราได้รับคำตอบจากคำพูดของท่านอิมาม (อ.) ที่ว่า “แท้จริง บรรดาชีอะฮ์จะเรียนรู้หลักการศรัทธาและบทบัญญัติทางศาสนาทั้งหมด (ซึ่งเรียกว่า อุศูลุดดีนและฟุรูอุดดีน) จากครอบครัวแห่งวะฮ์ยู และจากอะฮ์ลุลบัยต์ของศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) อันเป็นแหล่งกำเนิดแห่งวิชาการทั้งหลายของอิสลาม” ในความเป็นจริงแล้วสายธารชีอะฮ์ก็คือสายธารแห่งวะฮ์ยู และเป็นสายธารของอะฮ์ลุลบัยต์นั่นเอง ซึ่งอัลลอฮ์ (ซบ.) ได้ทรงแนะนำบุคคลเหล่านี้ไว้เช่นนี้ว่า
“โดย แท้จริง อัลลอฮ์เพียงแต่ประสงค์ที่จะขจัดมลทินให้หมดไปจากพวกเจ้า โอ้อะฮ์ลุลบัยต์ และพระองค์จะทรงทำให้พวกเจ้านั้นบริสุทธิ์ผุดผ่องโดยแท้จริง”
แต่ทว่าสายธารซุนนีย์ได้ศึกษาเรียนรู้หลักการศรัทธาและบทบัญญัติต่างๆ ของตนมาจากบุคคลที่ไม่ใช่เจ้าของบ้าน ชีอะฮ์เรียนรู้หลักศรัทธาและมะอาดมาจากท่านอมีรุลมุอ์มินีน (อ.) และจากลูกหลานของท่าน (อ.) ส่วนอะฮ์ลิซซุนนะฮ์เรียนรู้มาจากอบูฮุร็อยเราะฮ์ และบรรดานักรายงานฮะดีษที่เหมือนกับเขา แต่ชีอะฮ์ได้เรียนรู้บทบัญญัติและนิติศาสตร์ต่างๆ มาจากท่านอิมามบากิร (อ.) และท่านอิมามซอดิก (อ.) ในขณะที่อะฮ์ลิซซุนนะฮ์เรียนรู้มาจากอบูฮะนีฟะฮ์ อิมามมาลิก อิมามชาฟิอีย์ และอื่น ๆ
นี่คือสิ่งที่เราสามารถเข้าใจได้จากคำพูดของท่านอิมาม (อ.) ที่ว่า “โอ้ สหายแห่งเมืองกูฟะฮ์ ณ ที่นี่เราคือขุมคลังแห่งความรู้ ดังนั้น (ในความคิดของท่าน) พวกเขาคือบุคคลที่มีความรอบรู้ และพวกเราคือผู้โง่เขลากระนั้นหรือ สิ่งนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้”
เชิงอรรถ :
(1) มัรอาตุ้ล อุกูล ได้กล่าวว่า จุดมุ่งหมายของคำว่า “ร่องรอยของญิบรออีล” หมายถึง สถานที่หนึ่งที่ญิบรออีลหยุดอยู่ที่นั้น เพื่อขออนุญาตท่านศาสนทูต (ซ็อลฯ) ซึ่งปัจจุบันก็ยังเป็นที่รู้จักกัน และประตูที่อยู่ใกล้กับสถานที่แห่งนี้ถูกเรียกว่า “บาบุลญิบรออีล”
(2) บะศออิรุด ดะรอญาต หน้า 11 ; อุศูลุลกาฟีย์ บาบ มุสตะกอ อัลอิลม์ มินบัยติ อาลิมุฮัมมัด (ซ็อลฯ)
ที่มา : หนังสือสุนทรพจน์ ฮูเซน บินอะลี (อ.)
แปลและเรียบเรียงโดย : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ
Copyright © 2018 SAHIBZAMAN.NET- สื่อเรียนรู้สำหรับอิสระชนคนรุ่นใหม่