ซิกร์มุซีบัตค่ำคืนแรก : มุสลิม บินอะกีล
ซิกร์มุซีบัตค่ำคืนแรก : มุสลิม บินอะกีล

มุสลิม บินอะกีล (อ.) ถือได้ว่าเป็นชะฮีดคนแรกของวีรกรรมแห่งกัรบาลา แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ในกัรบาลาและการเป็นชะฮีดของเขาก็เกิดขึ้นในเมืองกูฟะฮ์ก่อนเหตุการณ์กัรบาลาเล็กน้อย ในวันที่ 8 ซุลฮิจญะฮ์ ปีฮิจเราะฮ์ที่ 60 ก็ตาม ในความยิ่งใหญ่และความมีเกียรติของเขานั้น เพียงพอแล้วที่ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) ได้กล่าวกับท่านอิมามอะลี (อ.) เกี่ยวกับเหตุผลที่ท่านรักอะกีลไว้เช่นนี้ว่า :

وَ اللَّهِ، إِنِّي لَأُحِبُّهُ حُبَّيْنِ حُبّاً لَهُ وَ حُبّاً لِحُبِّ أَبِي طَالِبٍ لَهُ وَ إِنَّ وَلَدَهُ لَمَقْتُولٌ فِي مَحَبَّةِ وَلَدِكَ

"ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า แท้จริงฉันรักอะกีลด้วยสองความรัก คือ ความรักที่มีต่อเขา และความรักเนื่องจากความรักที่อบูฏอลิบมีต่อเขา และแท้จริงลูกชายของเขาจะถูกสังหารในหนทางแห่งความรักที่มีต่อลูกชายของเจ้า" (1)

    คืนแรกของเดือนมุฮัรร็อมได้รับการตั้งชื่อว่า "ค่ำคืนของท่านมุสลิม" เพื่อยกย่องการเสียสละและการพลีอุทิศตนของผู้ถือสาร์นผู้เป็นชะฮีดท่านนี้

มุสลิม บิน อะกีล

    มุสลิม บิน อะกีล เป็นหลานชายของท่านอิมามอะลี (อ.) เขาเป็นบุตรชายของ อะกีล ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องและซอฮาบะฮ์ (สาวก) ของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และมุสลิมนี้เป็นหลานชายของอบูฏอลิบบิดาของท่านอิมามอะลี (อ.)

    มุสลิม บิน อะกีล เป็นหนึ่งในผู้มีเกียรติของบนีฮาชิม และเป็นผู้ที่ท่านซัยยิดุชชุฮะดาอ์ (อ.) ตั้งฉายาให้ท่านว่า "ซิกเกาะฮ์" (ผู้ที่ไว้วางใจได้) (2)

การบัยอัต (ให้สัตยาบัน) ของชาวกูฟะฮ์ต่อมุสลิม

    ด้วยการประกาศการเตรียมพร้อมอย่างกว้างขวางของชาวกูฟะฮ์ที่จะสนับสนุนท่านอิมามฮุเซน (อ.) และการส่งจดหมายจำนวนมากไปเชื้อเชิญท่านให้เดินทางไปยังกูฟะฮ์  ท่านอิมาม (อ.) จึงได้เรียกตัวมุสลิม บิน อะกีล ลูกพี่ลูกน้องของท่านมาพบ และขอให้เขาเดินทางไปยังเมืองกูฟะฮ์ เพื่อตรวจสอบและรายงานให้ท่านทราบเกี่ยวกับสถานการณ์และข้อเท็จจริงในการเตรียมพร้อมของชาวกูฟะฮ์ (3) เมื่อมุสลิม บิน อะกีล มาถึงเมืองกูฟะฮ์ และประชาชนที่ได้ทราบข่าวเกี่ยวกับการมาถึงของเขาได้รีบรุดกันออกไปต้อนรับเขา และมีผู้คนจำนวน 12,000 คน (ในบางรายงานกล่าวไว้ถึง 18,000 คน) ได้ให้สัตยาบัน (บัยอัต) ต่อเขา (4) ดังนั้นพวกเขาจึงถือว่ามุสลิมคือผู้ถือสาส์นของของท่านอิมามฮุเซน (อ.) (5) ด้วยการต้อนรับและการให้สัตยาบันอย่างกว้างขวางนี้เอง มุสลิมจึงเขียนจดหมายถึงท่านอิมามฮุเซน (อ.) และแจ้งให้ท่านอิมาม (อ.) ทราบเกี่ยวกับคำเชิญของชาวกูฟะฮ์ และขอให้ท่านเดินทางไปยังกูฟะฮ์ (6)

    ด้วยการมาถึงกูฟะฮ์ของมุสลิมและการให้สัตยาบัน (บัยอัต) อย่างกว้างขวางของประชาชนต่อเขา ยะซีด บิน มูอาวิยะฮ์จึงแต่งตั้งอุบัยดิลลาฮ์ บิน ซิยาดให้เป็นผู้ปกครองเมืองกูฟะฮ์นอกเหนือไปจากเมืองบัศเราะฮ์ และขอให้เขาสะกัดกั้นไม่ให้ประชาชนให้สัตยาบันต่อฮุเซน (อ.) และทำให้พวกเขากระจัดกระจายไป และออกคำสั่งให้เขาจับกุมและสังหารมุสลิม บิน อากีล (7)

การยืนหยัดต่อสู้ของมุสลิมและการทำลายสัตยาบันของชาวกูฟะฮ์

    อุบัยดิลลาฮ์ หลังจากมาถึงกูฟะฮ์แล้วได้ค้นหาตัวมุสลิม บิน อะกีล และด้วยการแทรกซึมของเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของเขาที่ชื่อ "มะอ์ก็อล" เข้าไปในหมู่ชาวชีอะฮ์ของเมืองกูฟะฮ์ ทำให้เขาได้รับรู้เกี่ยวกับที่ซ่อนตัวของมุสลิมในบ้านของฮานี บิน อุรวะฮ์ ดังนั้นฮานีจึงถูกจับกุมขังคุกเนื่องจากให้ที่พักพิงและการรับรองแขกแก่มุสลิม เมื่อมุสลิม บิน อะกีลได้ยินข่าวการจับกุมฮานี บิน อุรวะฮ์ เขาจึงเดินทางไปที่วังของอุบัยดิลลาฮ์พร้อมคนสี่พันคน (8)

    เมื่อมุสลิมและผู้ช่วยเหลือของเขามาถึงวังของอุบัยดิลลาฮ์ ด้วยการวางแผนของอิบนุ ซิยาด บรรดาหัวหน้าชนเผ่าและผู้อาวุโสของกูฟะฮ์ ได้ทำให้ประชาชนล้มเลิกจากการที่จะดำเนินการประท้วงต่อไป ในขณะเดียวกัน ชิมร์ บิน ซิลญูชัน เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับมอบหมายจากอุบัยดิลลาอฮ์ อิบนิ ซิยาด ในการทำให้ประชาชนแตกกระจายออกจากกลุ่มของมุสลิม ในคำปราศรัยหนึ่งของเขา เขาได้เรียกมุสลิมว่าเป็นผู้ปลุกระดม (สร้างฟิตนะฮ์) และทำให้ชาวกูฟะฮ์หวาดกลัวต่อกองทัพของเมืองชาม (9)

    ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อถึงเวลากลางคืน จากคนจำนวนสามหมื่นคน ก็เหลือเพียงสี่พันคนเท่านั้นที่ยังคงอยู่กับมุสลิม ฏอบารีกล่าวถึงจำนวนคนเหล่านี้ว่าเหลือเพียงห้าร้อยคน (10) แน่นอนว่าในช่วงค่ำพวกเขายังคงแยกตัวออกจากมุสลิมไปอย่างต่อเนื่อง และในช่วงนมาซ (มัฆริบ) ก็เหลือจำนวนแค่เพียงสามสิบคนเท่านั้นที่ยังคงอยู่ร่วมกับเขา (11) การกิยาม (ยืนหยัดต่อสู้) ของมุสลิมในกูฟะฮ์เกิดขึ้นในวันอังคาร ซึ่งเป็นวันที่แปดของเดือนซุลฮิจญะฮ์ ปีฮิจเราะห์ที่ 60 (12)

การถูกทอดทิ้งอย่างเดียวดายและการถูกอธรรม

    ในความเดียวดายและการถูกอธรรมของมุสลิมนั้น ก็เพียงพอแล้วที่หลังจากการนมาซมัฆริบแล้ว จากจำนวนสี่พันคนของชาวกูฟะฮ์ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่คงอยู่กับเขา มุสลิมซึ่งกลายเป็นคนแปลกหน้าและโดดเดี่ยวได้เดินไปตามถนนของเมืองกูฟะฮ์ด้วยความสับสน จนกระทั่งเขาได้พบผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ "เฏาอะฮ์" จึงขอน้ำดื่มจากเธอ ผู้หญิงคนนั้นได้พาเขาไปที่บ้านของตนและจัดเตรียมสถานที่พักให้เขา (13)

    แต่สุดท้ายที่ซ่อนของมุสลิมก็ถูกเปิดเผยโดยการทรยศของลูกชายของเฏาอะฮ์ (14) ทหารของอิบนุ ซิยาดได้จุดไฟเผาต้นอ้อจำนวนหนึ่งจากหลังคาและเทลงบนศีรษะของเขา (15) ในช่วงสุดท้ายแห่งชีวิตมุสลิมได้ครุ่นคิดถึงท่านอิมามฮุเซน (อ.) และครอบครัวของตน ด้วยเหตุนี้เขาจึงสั่งเสียอิบนุซะอัดเพื่อส่งใครสักคนไปหาท่านอิมามฮุเซน (อ.) เพื่อให้ท่านเลิกล้มจากการเดินทางมาที่เมืองกูฟะฮ์ (16)

การเป็นชะฮีดที่ริมฝีปากแห้งเผือด

    เขาเป็นชะฮีดในสภาพที่ริมฝีปากแห้งผากด้วยความกระหายน้ำ เช่นเดียวกับท่านอบา อับดิลลาฮ์ อัล-ฮุเซน (อ.) มีรายงานว่าเขาถูกจับกุมตัวในขณะที่ใบหน้าและเสื้อผ้าของเขาเต็มไปด้วยเลือด ได้รับบาดเจ็บและกระหายน้ำมาก (17) ภายในวังของอิบนุ ซิยาด มุสลิมได้มองเห็นเหยือกน้ำเย็นวางอยู่ข้างประตู มุสลิมจึงหันไปหาพวกเขาแล้วกล่าวว่า : “ขอน้ำนี้ให้ฉันดื่มสักหน่อยเถิด” มุสลิม บิน อัมร์ กล่าวว่า : "เจ้าเห็นใช่ไหมว่ามันเย็นแค่ไหน? ขอสาบานด้วยพระเจ้าว่า เจ้าจะไม่มีวันได้ลิ้มรสมัน นอกจากเจ้าจะต้องดื่มน้ำที่เดือดพล่านแห่งนรกเสียก่อน"

    มุสลิม บิน อะกีล กล่าวว่า : “ความวิบัติจงประสบกับเจ้า เจ้าเป็นใคร?" เขากล่าวว่า : "ฉันเป็นบุตรชายของคนที่รู้ถึงสิทธิที่เจ้าปฏิเสธ และยอมรับคำแนะนำของผู้นำที่เจ้าเป็นศัตรูกับเขา และฉันเชื่อฟังเขาในขณะที่เจ้าต่อต้านเขา ฉันคือมุสลิม บิน อัมร์ บาฮิลี"

    มุสลิม บิน อะกีล กล่าวว่า : "อะไรทำให้เจ้าเป็นผู้อธรรมและโหดร้ายได้เพียงนี้? โอ้ บุตรของบาฮิละฮ์ เจ้าสมควรที่จะไปลงนรกและดื่มน้ำที่เดือดพล่านนั้นมากกว่า" (18) แล้วมุสลิมก็เอนตัวพิงกำแพงแล้วนั่งลง อิมาเราะฮ์ อิบนุ อุกบะฮ์ ได้ให้ทาสของเขานำเหยือกน้ำมาและมอบน้ำให้กับมุสลิมเล็กน้อย มุสลิมยกภาชนะใส่น้ำขึ้นถึงสามครั้ง แต่ทุกครั้งภาชนะนั้นเต็มไปด้วยเลือด และครั้งสุดท้าย ฟันหน้าสองซี่ของมุสลิมได้ตกลงไปในภาชนะ เขาจึงไม่สามารถดื่มน้ำนั้นได้เลย จากนั้นเขาก็กล่าวว่า : "อัลฮัมดุลิ้ลลาฮ์ (มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์แด่อัลลอฮ์) หากน้ำนี้เป็นโชคผล (ริซกี) ของฉัน ฉันก็คงได้ดื่มมันแล้ว" (19)

    อิบนุ ซิยาด ออกคำสั่งแก่อิบนุ ฮัมรอน ซึ่งเคยได้รับบาดเจ็บจากการทำสงครามกับมุสลิม ให้รับผิดชอบในการฆ่ามุสลิมเพื่อเยียวยาหัวใจของเขา บุกัยร์ได้พามุสลิมขึ้นไปบนดาดฟ้าของวัง ในเวลานั้น มุสลิม บิน อะกีล ได้กล่าวตักบีร และขออภัยโทษ (อิสติฆฟาร) และกล่าวสลามไปยังบรรดาศาสดาและมะลาอิกะฮ์ พร้อมกับกล่าวว่า : โอ้อัลลอฮ์ โปรดตัดสินระหว่างเรากับคนกลุ่มนี้ที่อธรรมต่อเรา ปฏิเสธเรา และฆ่าเรา" บนดาษฟ้าของ "ดารุลอิมาเราะฮ์" นี้เองที่บุกัยร์ได้ทำการบั่นศีรษะออกจากเรือนร่างของของเขา และโยนร่างของเขาลงมาจากด้านบนของวัง (20) จากนั้นเขาก็กลับมาที่อุบัยดิลลาฮ์ ด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัว และกล่าวว่า : "ขณะที่ฉันทำการสังหารมุสลิม ฉันได้เห็นชายหน้าดำและน่าเกลียดคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้าฉันและใช้ฟันขบนิ้วของเขา ฉันกลัวมากเมื่อเห็นมัน!" (21)

    ศีรษะของมุสลิมถูกส่งไปยังเมืองชามพร้อมกับศีรษะของฮานี บิน อุรวะฮ์ ยะซีดได้ออกคำสั่งให้แขวนศีรษะทั้งสองนั้นไว้ที่ประตูเมืองดามัสกัส ขณะเดียวกันพวกเขาก็ลากร่างของมุสลิมไปกับพื้นดินในตลาดขายเนื้อของเมืองกูฟะฮ์แล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็แขวนตรึงร่างของเขาไว้ที่นั่น (22) มุสลิมถูกสังหารในวันพุธ ในปี ฮ.ศ. 60 (23)

การฝังศพอันบริสุทธิ์ของมุสลิม

    มีสองทัศนะเกี่ยวกับการฝังศพของมุสลิม ทัศนะหนึ่งคือกลุ่มคนจากเผ่าของฮานีได้มาฝังศพอันบริสุทธิ์ของมุสลิม บิน อะกีล และฮานี (24) อีกทัศนะหนึ่งคือในช่วงดึกของกลางคืน ภรรยาของมัยซัม ตัมมาร พร้อมด้วยคนกลุ่มหนึ่ง ในจำนวนนั้นมีภรรยาของฮานี บินอุรวะฮ์ ได้ฝังศพของทั้งสองไว้ข้างมัสยิดใหญ่ของเมืองกูฟะฮ์ (25) ในเดือนชะอ์บาน ปึ ฮ.ศ. 65 ตามคำสั่งของมุคตาร ษะกอฟี ซึ่งเป็นธรณีประตูของมุสลิม บินอะกีล (อ.) ได้ถูกสร้างขึ้นและมีการวางหินอ่อนลงบนหลุมศพและมีการสร้างโดมคลุม (26) 

    ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้กล่าวว่า : "ดวงตาของบรรดาผู้ศรัทธาจะร่ำไห้แก่เขาและบรรดาทวยเทพ (มะลาอิกะฮ์) ที่ใกล้ชิดของอัลลอฮ์จะประสาทพรแก่เขา" (27)

    เมื่อท่านอิมามฮุเซน (อ.) ส่งมุสลิมไปที่เมืองกูฟะฮ์ ท่านกล่าวในส่วนหนึ่งของจดหมายที่ส่งถึงชาวกูฟะฮ์ว่า :

وَ قَد بَعَثتُ إلَیکم أخی وَ ابنَ عَمّی وَ ثِقَتی مِن أهلِ بَیتی مُسلِمَ بنَ عَقیلِ بنِ أبی طالِبٍ

“ฉันได้ส่งมุสลิม บินอะกีล บินอบีฏอลิบ น้องชายของฉัน ลูกพี่ลูกน้องของฉัน และบุคคลที่เชื่อถือได้จากครอบครัวของฉันไปยังพวกท่าน" (28)

    เมื่อท่านอิมามฮุเซน (อ.) ได้ยินข่าวการเป็นชะฮีดของอะกีลและฮานี ท่านได้กล่าวขึ้นหลายครั้งว่า «إِنَّا لِلّهِ وَإِنَّـا إِلَيْهِ رَاجِعونَ» “แท้จริงเราเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ และแท้จริงเราจะกลับคืนไปสู่พระองค์”

    แล้วท่านก็กล่าวว่า : «لا خير في الحياة بعدهما» "ไม่มีความดีใด ๆ ในชีวิตภายหลังจากเขาทั้งสอง" (29)


แหล่งอ้างอิง :

  1. บิฮารุลอันวาร, อัลลามะฮ์มัจญ์ลิซี, เล่ม 22, หน้า 288
  2. บิฮารุลอันวาร, อัลลามะฮ์มัจญ์ลิซี, เล่ม 44, หน้า 334
  3. อันซาบุลอัชรอฟ, บะลาซุรี, เล่ม 2, หน้า 77
  4. อัซซีเราะฮ์ อัลหะละบียะฮ์, นูรุดดีน อัลหะละบี, เล่ม 1, หน้า 241
  5. มุอ์ญัม ริญาลิลหะดีษ, ซัยยิดอบุลกอซิม อัลคูอี, เล่ม 19, หน้า 165
  6. ตารีค อิบนิอะซากิร, เล่ม 14, หน้า 212
  7. อัลฟุตูห์, อิบนิอะอ์ษัม, เล่ม 5, หน้า 36
  8. อันซาบุลอัชรอฟ, บะลาซุรี, เล่ม 2, หน้า 80
  9. วักอะตุฏฏ็อฟ, อบูมัคนัฟ, หน้า 124
  10. ตารีคฏอบารี, เล่ม 4, หน้า 260
  11. อัลอัคบาร อัฏฏุวัล, อบูหะนีฟะฮ์ ดัยนะวะรี, หน้า 239
  12. มุรูญุซซะฮับ, มัสอูดี , เล่ม 3, หน้า 55
  13. ตารีคฏอบารี, เล่ม 4, หน้า 260
  14. ตารีคฏอบารี, เล่ม 4, หน้า 279
  15. ตารีคฏอบารี, เล่ม 4, หน้า 280
  16. อันซาบุลอัชรอฟ, บะลาซุรี, เล่ม 2, หน้า 81
  17. ตารีคฏอบารี, เล่ม 5, หน้า 374
  18. อัลฟุตูห์, อิบนิอะอ์ษัม, เล่ม 5, หน้า 55
  19. อัลฟุตูห์, อิบนิอะอ์ษัม, เล่ม 5, หน้า 55
  20. อัลอิรชาด, เชคมุฟีด, เล่ม 2, หน้า 63
  21. อัลฟุตูห์, อิบนิอะอ์ษัม, เล่ม 5, หน้า 58
  22. อัลฟุตูห์, อิบนิอะอ์ษัม, เล่ม 5, หน้า 62 และ 65
  23. บิฮารุลอันวาร, อัลลามะฮ์มัจญ์ลิซี, เล่ม 44, หน้า 363
  24. มะรอกิดุลมะอาริฟ, มุฮัมมัด ฮิรซุดดีน, เล่ม 2 , หน้า 318
  25. อัลฟุตูห์, อิบนิอะอ์ษัม, เล่ม 5, หน้า 62
  26. ริห์ละฮ์ อิบนิญุเบร, เล่ม 1, หน้า 188
  27. ฮัลอะมาลี, เชคซอดูก, หน้า 191
  28. บิฮารุลอันวาร, อัลลามะฮ์มัจญ์ลิซี, เล่ม 44, หน้า 334
  29. อัลฟุตูห์, อิบนิอะอ์ษัม, เล่ม 5, หน้า 64

บทความโดย : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ

Copyright © 2024 SAHIBZAMAN.NET- สื่อเรียนรู้สำหรับอิสระชนคนรุ่นใหม่

ผู้เยี่ยมชมอยู่ขณะนี้

มี 658 ผู้มาเยือน และ ไม่มีสมาชิกออนไลน์ ออนไลน์

25128239
Today
Yesterday
This Week
Last Week
This Month
Last Month
All days
29459
36652
241008
24814297
313942
1079962
25128239

ส 21 ธ.ค. 2024 :: 21:15:38