ซิกร์มุซีบัตค่ำคืนที่สาม : ท่านหญิงรุก็อยยะฮ์ บินติ ฮุเซน (อ.)
ซิกร์มุซีบัตค่ำคืนที่สาม : ท่านหญิงรุก็อยยะฮ์ บินติ ฮุเซน (อ.)

คืนที่สามของเดือนมุฮัรร็อม ถูกตั้งชื่อด้วยขื่อของท่านหญิงรุก็อยยะฮ์ (อ.) ลูกสาววัยสามขวบของท่านอิมามฮุเซน (อ.) บางแหล่งอ้างอิงเรียกชื่อท่านหญิงรุก็อยยะฮ์ว่า ฟาฏิมะฮ์ ซุฆรอ

รุก็อยยะฮ์ บินติ ฮุเซน

    รุก็อยยะฮ์ (อ.) เสียชีวิตในวันที่สามของเดือนซอฟัร ในปีฮิจเราะห์ 61 ในระหว่างการเดินทางของอะฮ์ลุลบัยต์ไปยังเมืองชาม บางทีการตั้งชื่อวันที่สามของเดือนมุฮัรร็อมด้วยชื่อของเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่มีเกียรติผู้นี้ อาจเกิดแรงจูงใจให้ระลึกถึงการถูกกดขี่ของเธอท่ามกลางบรรยากาศของความโศกเศร้าอันร้อนแรงของการไว้อาลัยในช่วงสิบวันแรก ท่านหญิงรุก็อยยะฮ์ (อ.) เป็นแบบอย่างของการอบรมขัดเกลา (ตัรบียะฮ์) ที่ถูกต้อง เมื่อคิดใคร่ครวญในประโยคสั้นๆ ที่เธอพูดเมื่อเห็นศีรษะที่ถูกตัดขาดของบิดา ก็สามารถเข้าใจได้ว่าเด็กคนนี้มีความรู้ (มะอ์ริฟะฮ์) ที่สูงส่งเพียงใด

    บางแหล่งอ้างอิงเรียกชื่อท่านหญิงรุก็อยยะฮ์ว่า ฟาฏิมะฮ์ ซุฆรอ และได้รายงานไว้เช่นนี้ว่า : "ในเมืองกูฟะฮ์เมื่อสายตาของท่านหญิงซัยนับ (อ.) ได้มองไปเห็นศีรษะของพี่ชายซึ่งถูกเสียบอยู่บนปลายหอก ท่านกล่าวว่า : โอ้ พี่ชายของฉัน! จงพูดกับฟาฏิมะฮ์ตัวน้อยคนนี้เถิด เพราะหัวใจของเธอกำลังจะละลายจากความโศกเศร้าที่รุนแรง" (1) ฟาฏิมะฮ์ผู้นี้ก็คือรุก็อยะฮ์ (อ.) ผู้ซึ่งเนื่องจากเธอไม่มีมารดา ท่านอิมามฮุเซน (อ.) จึงรักและเอ็นดูเธอมากและกำชับสั่งเสียให้ท่านหญิงซัยนับ (อ.) ดูแลเธอ (2)

ซากปรักหักพังของเมืองชาม

    ที่พักอาศัยของท่านหญิงรุก็อยยะฮ์ (อ.) และเชลยคนอื่นๆ ในเมืองชามนั้นเป็นซากปรักหักพังซึ่งยะซีดให้เชลยเหล่านั้นพักอาศัยในนั้น ด้วยเจตนาที่จะให้มันพังทลายลงทับและสังหารอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) (3) เชคซอดูก (ร.ฎ.) กล่าวว่า : ที่คุมขังแห่งนี้เป็นคุกที่บรรดาเชลยถูกทรมานด้วยความหนาวเย็นและความร้อน โดยที่ผิวหนังของใบหน้าของพวกเขาลอก (4)

    ซัยยิดนิอ์มะตุลลอฮ์ ญะซาอิรี ได้เขียนไว้ในหนังสือ "อัลอันวารุนนุอ์มานิยะฮ์" ว่า : “มันฮาลเห็นท่านอิมามซัจญาด (อ.) ขณะที่ท่านพิงอยู่กับไม้เท้า และขาทั้งสองของเขาเหมือนกับต้นอ้อสองต้น และมีเลือดไหลออกมาจากขาทั้งสองของท่าน และสีผิวของท่านเหลืองซีด และเมื่อฉันถามถึงสภาพของท่าน ท่านกล่าวว่า : "สภาพของผู้ที่เป็นเชลยของยะซีด บุตรของมุอาวิยะฮ์จะเป็นอย่างไรไปได้ และบรรดาผู้หญิงของเราไม่มีอาหารเพียงพอที่จะอิ่มท้อง... และพวกเขาใช้เวลาทั้งกลางวันและกลางคืนผ่านไปด้วยกับความคร่ำครวญและร้องไห้..."    

    มันฮาลเล่าต่อว่า : "ฉันถามท่านว่า แล้วตอนนี้ท่านกำลังจะไปที่ไหน?" ท่านกล่าวว่า : ที่ที่พวกเขาให้เราพักอาศัยซึ่งไม่มีหลังคา และดวงอาทิตย์ก็ได้แผดเผาเรา และเราไม่เห็นอากาศดีที่นั่นเลย..." (5)

การฝันเห็นบิดา

    ในหนังสือ "กะมาล บะฮาอี" ได้ระบุไว้ว่า : “ในท่ามกลางเชลยนั้นมีเด็กหญิงอายุสี่ขวบคนหนึ่ง คืนหนึ่งเธอตื่นขึ้นมาแล้วกล่าวว่า : "ฮุเซน (อ.) พ่อของฉันอยู่ที่ไหน?  ฉันฝันเห็นท่านในเวลานี้" เธอกระวนกระวายมาก บรรดาสตรีและเด็กๆ ต่างร้องไห้กันทั้งหมด และเสียงร้องคร่ำครวญพวกเขาดังขึ้นและทำให้ยะซีดที่กำลังหลับอยู่ตื่นขึ้นมาและสอบถามถึงสาเหตุ พวกเขาได้รายงานถึงสถานการณ์ ยะซีด (ละอ์นะตุลลอฮิ อะลัยฮ์) จึงบอกให้พวกเขาไปเอาศีรษะของบิดาของนางมา และวางลงข้างๆ นาง พวกเขา (ละอ์นะตุลลอฮิ อะลัยฮิม) ได้นำศีรษะมาวางลงข้างๆ เด็กหญิงวัยสี่ขวบผู้นั้น (6)

เมื่อเด็กหญิงตัวเล็กๆ จำศีรษะของบิดาได้ เธอก็แนบมันไปที่หน้าอกของเธอ และพูดกับศีรษะที่ขาดวิ่นของบิดาที่รักของเธอด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวดเช่นนี้ว่า :

یا اَبَتاه مَنْ ذَالَّذی خَضَبَکَ بِدِمائِکَ؟ یا اَبَتاه مَنْ ذَالَّذی قَطَعَ وَریدَکَ؟ یا اَبَتاه مَن ذَالَّذی اَیْتَمَنی عَلی صِغَرِ سِنّی؟ یا اَبَتاه مَنْ لِلْیَتیمَةِ حَتّی تَکْبُر؟ یا اَبَتاه مَنْ لِلنِّساء الْحاسِراتِ؟

          “โอ้พ่อจ๋า! ผู้ใดหรือที่ทำให้เคราของพ่อเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดจากศีรษะของพ่อ? โอ้พ่อจ๋า! ผู้ใดหรือที่ตัดศีรษะของพ่อ? โอ้พ่อจ๋า! ผู้ใดหรือที่ทำให้หนูต้องกลายเป็นลูกกำพร้าตั้งแต่วัยเด็กขนาดนี้? โอ้พ่อจ๋า! แล้วใครกันเล่าที่จะคอยดูแลเด็กกำพร้าผู้นี้จนเติบโต? โอ้พ่อจ๋า! ใครกันเล่าที่จะคอยดูแลบรรดาสตรีที่กำลังเศร้าโศกเสียใจเหล่านี้? ใครกันเล่าที่จะคอยปลอบใจบรรดาสตรีที่สามีและลูกๆ ของตนได้เป็นชะฮีดและตัวเองต้องตกเป็นเชลยเหล่านี้? โอ้พ่อจ๋า! ใครกันเล่าที่จะคอยปลอบประโลมดวงตาที่กำลังร่ำไห้คร่ำครวญเหล่านี้? โอ้พ่อจ๋า! แล้วใครกันหรือที่จะคอยลูบศีรษะของเด็กๆ ที่กำลังเศร้าโศกเสียใจเหล่านี้? โอ้พ่อจ๋า! เมื่อท่านไม่อยู่แล้ว ผู้ใดกันเล่าที่จะเป็นที่พักพิงของพวกเราหลังจากท่าน? ความวิบัติจงมีแด่การมีชีวิตอยู่ของเรา ความวิบัติจงมีแด่ความเป็นผู้แปลกหน้าของเรา โอ้พ่อจ๋า! หนูน่าจะตายไปก่อนพ่อ โอ้พ่อจ๋า! หนูน่าจะตาบอดไปก่อนหน้านี้ จะได้ไม่ต้องเห็นภาพเหล่านี้” (7)

    ในช่วงเวลานั้นเอง ท่านหญิงรุก็อยยะฮ์ได้วางริมฝีปากเล็กๆ ของตนลงบนริมฝีปากของบิดาผู้เป็นชะฮีดและร้องไห้อย่างหนักจนเป็นลมหมดสติและสิ้นใจ (เป็นชะฮีด)

     หากตามที่นักประวัติศาสตร์กล่าวไว้ เราถือว่าการมาถึงเมืองชามของเชลยศึก คือวันที่ 1 ซอฟัร และการเป็นชะฮีดของท่านหญิงรุก็อยยะฮ์ (อ.) ตรงกับวันที่ 5 ของ ซอฟัรแล้ว เราก็จะสรุปได้ว่า ท่านหญิงรุก็อยยะฮ์ (อ.) ใช้เวลาอยู่ในซากปรักหักพังนั้นสี่วัน (8)

รอยฟกช้ำตามร่างกาย

     เมื่อผู้ทำฆุซุล (ฆ็อซซาละฮ์) ได้อาบน้ำฆุซุลมัยยิดให้แก่ลูกสาวของท่านอิมามฮุเซน (อ.) เขาก็หยุดการกระทำของตนอย่างกะทันหัน เขาหันไปหาท่านหญิงซัยนับ (อ.) และกล่าวว่า : "โอ้ท่านหญิงผู้สูงศักดิ์! ท่านรู้เกี่ยวกับสภาพของเด็กคนนี้ เขาเสียชีวิตด้วยโรคอะไร?" ท่านหญิงซัยนับ (อ.) กล่าวว่า : "ทำไมเจ้าถึงถามคำถามเช่นนี้? มีบาดแผลอะไรปรากฏในร่างกายของเด็กหญิงผู้นี้หรือ?" เขากล่าวว่า : "ร่างกายของเด็กหญิงคนนี้มีรอยฟกช้ำไปทั้งตัว บางทีรอยช้ำเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของความเจ็บป่วยบางอย่างโดยเฉพาะ"  ท่านหญิงซัยนับ (อ.) กล่าวทั้งน้ำตาว่า : โอ้ ผู้หญิงผู้ทำฆุซุลเอ๋ย! เด็กคนนี้ไม่มีโรคประจำตัวใดๆ รอยฟกช้ำและผิวหนังสีน้ำตาลเหล่านี้เป็นผลมาจากแส้ของศัตรูที่ฟาดลงบนร่างกายนางระหว่างทางของกูฟะฮ์และชาม" (9)

    เมื่อท่านหญิงซัยนับ (อ.) กลับไปยังมะดีนะฮ์พร้อมกับบรรดาผู้ร่วมทางของตน สตรีชาวเมืองมะดีนะฮ์ก็มาแสดงความเสียใจต่อท่านหญิงซัยนับ (อ.) ท่านหญิงซัยนับ (อ.) ได้เล่าให้พวกนางฟังเกี่ยวกับเหตุการณ์อันแสนขมขื่นต่างๆ ของกัรบาลา กูฟะฮ์และชาม และพวกนางก็ร้องไห้ จนกระทั่งท่านหญิง (อ.) ได้นึกถึงท่านหญิงรุก็อยยะฮ์ (อ.) และกล่าวว่า : "แต่โศกนาฏกรรมการเสียชีวิตของรุก็อยยะฮ์ (อ.) ในซากปรักหักพังของเมืองชามทำให้หลังของฉันค่อมและทำให้ผมของฉันหงอกขาว" เมื่อบรรดาผู้หญิงได้ยินสิ่งนี้ ก็พากันร้องไห้และคร่ำครวญด้วยเสียงที่ดังระงม และในวันนั้นพวกนางได้ร้องไห้อย่างมากในการรำลึกถึงความทุกข์ทรมานจต่างๆ ของท่านหญิงรุก็อยยะฮ์ (อ.) (10)

มัจลิสไว้อาลัยในซากปรักหักพัง

    ท่านหญิงซัยนับ กุบรอ (อ.) ได้ก่อให้เกิดการผลิกผันอย่างหนักหน่วงขึ้นในศูนย์กลางของรัฐบาลยาซีดด้วยการจัดให้มีมัจลิสไว้ทุกข์ในซากปรักหักพังของเมืองชาม โดยที่บรรดาสตรีชาวเมืองชามและคนอื่นๆ เข้ามาเป็นกลุ่มๆ เพื่อแสดงความเสียใจต่อท่านหญิงซัยนับ กุบรอ (อ.) และต่อผู้ที่รอดชีวิตจากกัรบาลาคนอื่นๆ จากลูกหลานของท่านอิมามฮุเซน (อ.) และท่านหญิงซัยนับ (อ.) บุตรีของท่านอมีรุลมุอ์มินีน (อ.) ยังได้เล่ารายละเอียดเกี่ยวกับการเป็นชะฮีดของท่านอิมามฮุเซน (อ.) และความทุกข์ทรมานต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับพวกท่านในรูปของร้อยแก้วและบทโคลงแก่บรรดาสตรีชาวเมืองชาม งานมัจลิสไว้ทุกข์ดำเนินไปและยกระดับขึ้นถึงขั้นที่แม้แต่บรรดาผู้หญิงจากวงศ์วานของอบูซุฟยาน รวมทั้งฮินด์ ภรรยาของยะซีด (ในซากปรักหักพัง) ก็ไปพบกับอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) และจูบมือและเท้าของบุตรีของท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) และร้องไห้คร่ำครวญ มัจลิสนี้ดำเนินไปเป็นเวลาถึง 7 วัน และตามรายงานหนึ่งบอกว่าเป็นเวลา 3 วัน (11)


แหล่งอ้างอิง :

1. บิฮารุลอันวาร, อัลลามะฮ์มัจญ์ลิซี, เล่ม 45, หน้า 115

2. ซัรกุซัชต์ ญอนซูซ ฮัซรัตรุก็อยยะฮ์ (อ.), มุฮัมมัด มุฮัมมะดี อิชติฮาร์ดี, หน้า 16

3. วะกอยิอ์ กัรบะลา, เชคอับบาส กุมมี, หน้า 203

4. อัลอะมาลี, เชคซอดูก, หน้า 231

5. อัลอันวารุนนุอ์มานิยะฮ์, ซัยยิดนิอ์มะตุลลอฮ์ ญะซาอิรี, เล่ม 3, หน้า 253; มุนตะฮัลอามาน, เชคอับบาส กุมมี, เล่ม 2, หน้า 1001

6. กามิล บะฮาอี, อิมาดุดดีน ฏอบารี, เล่ม 2, หน้า 179; เราฎอตุชชุฮะดาอ์, มุลลา ฮุเซน กาชิฟี, เล่ม 1, หน้า 484

7. นะฟะซุลมะฮ์มูม, เชคอับบาส กุมมี, หน้า 416; อันวารุชชะฮาดะฮ์, มุฮัมมัดฮะซัน ยัซดี, หน้า 244-245

8. บอ กอรอวอน ชอม, ฮุเซน ฮาชิมี นูรบัคช์, หน้า 98

9. อัลวะกอยิอ์ วัลหะวาดิษ, มุฮัมมัดบากิร มัลบูบี, เล่ม 5, หน้า 81

10. ซัรกุซัชต์ ญอนซูซ ฮัซรัตรุก็อยยะฮ์ (อ.), มุฮัมมัด มุฮัมมะดี อิชติฮาร์ดี, หน้า 50-51

11. ซะฟีนะตุลบิฮาร, เชคอับบาส กุมมี, เล่ม 3, หน้า 308; มักตะลุลฮุเซน (อ.), อบูมัคนัฟ, หน้า 228


บทความโดย : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ

Copyright © 2024 SAHIBZAMAN.NET- สื่อเรียนรู้สำหรับอิสระชนคนรุ่นใหม่

 

ผู้เยี่ยมชมอยู่ขณะนี้

มี 723 ผู้มาเยือน และ ไม่มีสมาชิกออนไลน์ ออนไลน์

25128073
Today
Yesterday
This Week
Last Week
This Month
Last Month
All days
29293
36652
240842
24814297
313776
1079962
25128073

ส 21 ธ.ค. 2024 :: 21:12:10