ซิกร์มุซีบัตค่ำคืนที่สี่ : ฮุร บิน ยะซีด อัล ริยาฮี
Powered by OrdaSoft!
No result.
ซิกร์มุซีบัตค่ำคืนที่สี่ : ฮุร บิน ยะซีด อัล ริยาฮี

ค่ำคืนที่สี่ของการไว้อาลัยในเดือนมุฮัรร็อม ได้รับการตั้งชื่อด้วยชื่อของชะฮีดผู้มีเกียรติและน่าภาคภูมิใจแห่งกัรบาลาผู้หนึ่ง นั่นก็คือ “ฮุร บิน ยะซีด อัล ริยาฮี” แน่นอนว่าค่ำคืนนี้ยังถูกสัมพันธ์ไปยังลูกๆ ของท่านหญิงซัยนับ (อ.) ด้วยเช่นกัน

ฮุร บิน ยะซีด อัล ริยาฮี

     “ฮุร” เป็นแบบอย่างของผู้กลับเนื้อกลับตัว (เตาบะฮ์) และผู้ใฝ่หาสัจธรรม ในช่วงเริ่มแรกที่เขาได้พบกับท่านอิมามฮุเซน (อ.) เขาไม่ได้มีสถานภาพที่ดีอะไรเช่นนี้ และตามคำพูดของเขาเอง เขาเป็นผู้ที่ถูกบัญชาให้มาทำหน้าที่และเขาก็ไม่รู้เรื่องอื่นใด! แต่ความสุภาพและความอ่อนน้อมถ่อมตนของเขาเมื่ออยู่ต่อหน้าท่านซัยยิดุชชุฮะดาอ์ (อ.) เป็นสื่อทำให้เขาได้รับความรอดพ้น ด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้ง ฮุรได้เลือกเอาสัจธรรม ละทิ้งความหลงผิด และกลับเนื้อกลับตัว (เตาบะฮ์) ฮุรเป็นแบบอย่างของการกลับเนื้อกลับตัวที่น่าทึ่งที่สุดสำหรับบรรดาผู้ประพฤติผิด เขาซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บัญชาการทหารชาวอาหรับที่เรืองนาม ได้เข้ามาในสนามรบพร้อมกองกำลังต่อสู้นับพันคนเพื่อเผชิญหน้ากับท่านอิมามฮุเซน (อ.) และปิดเส้นทางของท่าน แต่เมื่อถึงวันอาชูรอ ท่านอิมาม (อ.) ได้ป่าวร้องออกมาว่า :

اما مِنْ مُغیثٍ یغیثُنا لِوَجْهِ اللَّهِ تَعالی؟ اما مِنْ ذابٍّ یَذُبُّ عَنْ حَرَمِ رَسُولِ اللَّهِ

          "ไม่มีเลยหรือผู้ที่จะให้การช่วยเหลือเราเพื่อหวังรางวัลจากอัลลอฮ์? ไม่มีเลยหรือผู้ที่จะให้การปกป้องครอบครัวของท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์" (1)

    เมื่อได้ยินเสียงป่าวร้องของท่านอิมาม (อ.) หัวใจของฮุร ก็รู้สึกกระวนกระวายอย่างรุนแรงและน้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองของเขา เขาได้เข้าไปใกล้ค่ายพักของท่านอิมามฮุเซน (อ.) อย่างช้าๆ ในสภาพที่ร่างกายของเขาสั่นเทาและกล่าวกับญาติคนหนึ่งของเขาว่า :

وَ اللَّهِ إِنِّی أُخَیِّرُ نَفْسِی بَیْنَ الْجَنَّةِ وَ النَّارِ فَوَ اللَّهِ لَا أَخْتَارُ عَلَى الْجَنَّةِ شَیْئاً وَ لَوْ قُطِّعْتُ‏ وَ أُحْرِقْتُ

          “ขอสาบานต่ออัลลอฮ์! ฉันกำลังมองเห็นตัวเองต้องเลือกระหว่างสวรรค์กับนรก และขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า ฉันจะไม่เลือกสิ่งใดเหนือสวรรค์ มาตรว่าฉันจะถูกฟันเป็นชิ้นๆ และถูกเผาก็ตาม”

    จากนั้นฮุรก็ควบม้าไปยังท่านอิมาม (อ.) (2) และในขณะที่เขาวางมือบนศีรษะของเขา เขาก็กล่าวว่า :

اللَّهُمَّ إِلَيْكَ أَنَبْتُ فَتُبْ عَلَيَّ فَقَدْ أَرْعَبْتُ قُلُوبَ أَوْلِيَائِكَ وَ أَوْلاَدِ بِنْتِ نَبِيِّكَ

          “โอ้อัลลอฮ์! ข้าพระองค์ขอสารภาพผิดต่อพระองค์ ดังนั้นโปรดทรงอภัยโทษแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด แท้จริงข้าพระองค์ได้ทำให้หัวใจของหมู่มิตรของพระองค์และลูกๆ ของบุตรีของศาสดาของพระองค์หวาดกลัว "  (3)

    จากนั้นเขาก็เหวี่ยงโล่ของเขาทิ้ง [196] และกล่าวด้วยความละอายใจอย่างรุนแรงว่า :

جُعِلْتُ فِداكَ یَابْنَ رَسُولِ اللّه ِ اَنَا صاحِبُكَ الَّذی حَبَسْتُكَ عَنِ الرُّجُوعِ وَ سایَرْتُكَ فِی الطَّریقِ وَ جَعْجَعْتُ بِكَ فی هذَا الْمَکانِ وَ ما ظَنَنْتُ اَنَّ الْقَوْمَ یَرُدُّونَ عَلَیْكَ ما عَرَضْتَهُ عَلَیْهِمْ وَ لایَبْلُغُونَ مِنْكَ هذِهِ الْمَنْزِلَةَ، وَ اللّه ِ لَوْ عَلِمْتُ اَنَّهُمْ یَنْتَهُونَ بِكَ اِلی ما اَری ما رَکِبْتُ مِثْلَ الَّذی رَکِبْتُ، فَانّی تائِبٌ اِلَی اللّه ِ مِمّا صَنَعْتُ، فَتَری لی مِنْ ذلِكَ تَوْبة؟

          "ข้าพเจ้าขอพลีเพื่อท่าน! ข้าพเจ้าคือผู้ร่วมทางของท่านที่กักขังหน่วงเหนี่ยวท่านจากการเดินทางกลับ และข้าพเจ้าได้เดินมากับท่านในตลอดเส้นทาง และข้าพเจ้าก็นำท่านมาหยุดอยู่ในสถานที่อันเลวร้ายแห่งนี้ ข้าพเจ้าไม่คิดว่า กลุ่มชนเหล่านี้จะกระทำกับท่านถึงขั้นนี้ (โดยทำสงครามกับท่านจริงๆ) มิเช่นนั้นแล้วข้าพเจ้าจะไม่ปิดเส้นทางต่อท่านอย่างแน่นอน บัดนี้ข้าพเจ้าสำนึกผิดแล้ว และข้าพเจ้าขอสารภาพผิดต่ออัลลอฮ์จากสิ่งที่ข้าพเจ้ากระทำ การสารภาพผิดของข้าพเจ้าจะถูกตอบรับหรือไม่?"

    ท่านอิมาม (อ.) ได้ขออภัยโทษให้แก่เขาและกล่าวว่า : "เจ้าเป็นเสรีชนทั้งในโลกนี้และในปรโลก" (4)

    นักประวัติศาสตร์บางคนเขียนว่า ฮุรได้กล่าวว่า : “เนื่องจากข้าพเจ้าเป็นคนแรกที่ปิดเส้นทางของท่าน ดังนั้นโปรดอนุญาตให้ข้าพเจ้าเป็นชะฮีดคนแรกในทางของท่านเถิด บางทีข้าพเจ้าอาจจะเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นที่จะได้จับมือกับตาของท่านในกิยามะฮ์” (5) อย่างไรก็ตาม ซัยยิด อิบนุ ฏอวูซ (ร.ฎ.) กล่าวว่า : จุดประสงค์ของฮุร คือการเป็นชะฮีดคนแรกในช่วงเวลาดังกล่าว เนื่องจากมีคนกลุ่มหนึ่งได้เป็นชะฮีดก่อนหน้านี้แล้ว (ุ6)

    ฮุรได้ขออนุญาตจากท่านอิมามฮุเซน (อ.) และเข้าสู่สนามรบ และหลังจากการแสดงความกล้าหาญต่างๆ ที่ไม่มีใครเทียบได้ของเขา ร่างที่ได้รับบาดเจ็บและเปียกโชกเลือดของเขาก็ล้มลงกับพื้น ขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็ได้นำร่างของเขาไปวางลงหน้ากระโจม ซึ่งเป็นที่รวมของบรรดาผู้ที่ถูกสังหาร (7) ท่านอิมามฮุเซน (อ.) ได้กล่าวว่า : ผู้ถูกสังหารเหล่า“นี้เป็นเหมือนบรรดาศาสดาและลูกหลานของบรรดาศาสดา” (8) จากนั้น ท่านอิมาม (อ.) ) ก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างๆ เขา แล้ววางมือของท่านลงบนใบหน้าของเขา และลูบไล้เรือนร่างที่กำลังจะสิ้นใจของเขา และกล่าวว่า :

اَنْتَ الْحُرُّ کَما سَمَّتْکَ اُمُّکَ وَ اَنْتَ الْحُرُّ فِی الدُّنیا وَ اَنْتَ الْحُرُّ فِی الآْخِرَة

       “เจ้าเป็นเสรีชนสมดั่งที่แม่ของเจ้าได้ตั้งขื่อเจ้า และเจ้าคืออิสระชนทั้งในโลกนี้และโลกหน้า” (9)

    จากนั้นท่านอิมามก็หยิบผ้าเช็ดหน้าของท่านออกมาและปิดบาดแผลบนศีรษะของฮุร

    เชคซอดูก (ร.ฎ.) ได้รายงานไว้ในหนังสือ “อัล-อะมาลี” เช่นนี้ว่า : ท่านอิมามฮุเซน (อ.) ได้มาปรากฏตัวข้างๆ เขา ขณะที่เลือดไหลออกจากร่างกายของฮุร ท่านอิมาม (อ.) ได้กล่าวกับฮุรว่า :

بَخ بَخ يا حُرّ! أنت حُرٌّ، كما سُمّيتَ في الدنيا وَالآخرة

        “โอ้ ฮุรเอ๋ย! ช่างดีเยี่ยมเสียนี่กระไร เจ้าเป็นอิสระชนทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า สมดั่งที่เจ้าถูกตั้งชื่อว่า ฮุร”

    ใช่แล้ว! ท่านอิมามฮุเซน (อ.) ได้ลูบไล้ร่างกายของฮุร ขจัดฝุ่นดินและสิ่งสกปรกออกจากใบหน้าของเขา และปิดบาดแผลบนศีรษะของเขา และได้รำพันบทโคลงแสดงความเศร้าโศกขึ้นว่า :

              نِعْمَ الحُرُّ حُرُّ بَني رِياح        صَبورٌ عِنْدَ مُشْتَبَكِ الرِّماحِ     

                  وَنِعْمَ الحُرُّ إذْ وَاسَى حُسَيْناً    وَجَادَ بِنَفْسِهِ عِنْدَ الصَّبَاحِ

        "ช่างเป็นเสรีชนที่ดีเลิศ เสียนี่กระไร! ฮุร แห่งบนีริยาห์  ผู้ที่มีความอดทนยิ่งในขณะที่บรรดาคมหอกได้พวยพุ่งเข้ามา

  และช่างเป็นเสรีชนที่ดีเลิศ เสียนี่กระไร! เมื่อเขาได้ร้องเรียกหาหูเซน   และยอมทวายชีวิตในขณะแห่งการเรียกหา" (10)

    ด้วยลักษณะเช่นนี้เองที่ฮุรได้เป็นชะฮีดลง ณ เบื้องหน้าท่านอิมาม (อ.)  แต่โอ้อนิจจา! ในช่วงเวลาศีรษะและร่างที่ถูกแยกออกจากศีรษะของท่านอิมามฮุเซน (อ.) ได้กลิ้งเกลือกอยู่บนพื้นในท้องทะเลทราย แปดเปื้อนไปด้วยฝุ่นทรายในอากาศที่ร้อนจัดเหมือนเตาไฟนั้น ไม่มีใครที่จะทำความสะอาดให้กับศีรษะและร่างอันบริสุทธิ์ของท่านเลย

    ในบทซิยารัตนาฮิยะฮ์ มุก็อดดะซะฮ์ กล่าวถึงท่านไว้ดังนี้ว่า :

السَّلامُ عَلی الحُرِّ بْنِ الرِّیاحِیّ

        “ขอความสันติสุขจงมีแด่ฮุร บิน ริยาฮีฮ์” (11)

ลูกๆ ของท่านหญิงซัยนับ (อ.)

    ท่านหญิงซัยนับ กุบรอ (อ.) ได้เคลื่อนไหวอยู่เคียงข้างกับพี่ชายของนางในวีรกรรมแห่งอาชูรอ และไม่หยุดยั้งจากการเสียสละและการพลีอุทิศตนแม้แต่วินาทีเดียว ในการเดินทางสู่กัรบาลา สุภาพสตรีผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นได้พาบุตรชายสองคนของตนที่เกิดจากอับดุลลอฮ์ บินญะอ์ฟัร ผู้เป็นสามีของนาง ได้แก่ อูน และมุฮัมมัด ซึ่งทั้งสองคนได้เป็นชะฮีดเคียงข้างท่านอิมามฮุเซน (อ.) เมื่ออับดุลลอฮ์ตระหนักว่าการเดินทางของอิมามฮุเซน (อ.) ไปยังกัรบาลานั้นเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว เขาได้ส่งบุตรชายสองคนของเขา คือ อูน และมุฮัมมัด ไปช่วยมารดาของพวกเขาพร้อมกับคาราวานของท่านอิมามฮุเซน (อ.) และสั่งเสียพวกเขาว่า หากมีสงครามเกิดขึ้น จงพิทักษ์ปกป้องท่านอิมามฮุเซน (อ.) (12) เมื่อท่านอิมาม (อ.) ได้เดินทางออกจากมักกะฮ์ไปยังกัรบะลา พวกเขาก็ได้เข้าสมทบกับท่านและนำจดหมายของอับดุลลอฮ์ บิดาของพวกเขาซึ่งขอให้ท่านอิมาม (อ.) เปลี่ยนใจจากการเดินทางครั้งนี้ปมอบให้กับท่านด้วย (13)

    มีรายงานว่า : ท่านหญิงซัยนับ กุบรอ (อ.) ได้เตรียมพร้อมลูกสองคนของนางสำหรับการต่อสู้ และสอนพวกเขาว่า หากพวกเจ้าต้องเผชิญกับการปฏิเสธของท่านท่านอิมามฮุเซน (อ.) ที่จะอนุญาตให้พวกเจ้าออกสู่สนามรบ เหมือนดังที่ท่านปฏิเสธที่จะอนุญาตให้แม้แต่ ญูน ทาสผิวดำของท่านออกสู่สงครามนั้น พวกเจ้าก็จงสาบานกับ (อิมามฮุเซน) ลุงของพวกเจ้า ด้วยฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ.) มารดาของท่าน เพื่อให้ท่านอนุญาตให้พวกเจ้าออกสู่สนามรบเถิด ในวันอาชูรอ เมื่อมุฮัมมัด หนึ่งในบุตรชายของท่านหญิงซัยนับ (อ.) ได้รีบรุดออกสู่สนามรบนั้น เขาได้รำพันบทโคลงปลุกความกล้าหาญและข่มขวัญศัตรูเช่นนี้ว่า :

                                    اشْکو اِلَی الله مِنَ العُدْوانِ  

                                  فِعالَ قَومٍ فی الرَّدی عِمیانِ‌

                                         قَدْ بَدَّلوا مَعالِمَ القُرآنِ

                                   وَ مُحکمِ التَّنزیلِ و التَّبیان‌

                               وَ اَظهَروا الکفرَ مَعَ الطُّغیانِ

        "ข้าขอร้องเรียนต่ออัลลอฮ์จากการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ของกลุ่มชนที่กำลังก้าวไปสู่ความหายนะอย่างมืดบอด พวกเขาได้เปลี่ยนสัญลักษณ์บ่งชี้ต่างๆ ของอัลกุรอาน และเปลี่ยนแปลงการลงวิวรณ์และการอธิบายที่ชัดเจน และพวกเขาได้เปิดเผยการปฏิเสธศรัทธาด้วยการก่อการละเมิด" (14) ตามคำรายงานที่เป็นที่รับรู้กันดี หลังจากฆ่าศัตรูไปสิบคน เขาก็ถูกสังหาร (เป็นชะฮีด) โดยอามิร บิน นะฮ์ชัล ตะมีมี (15)

    ในวันอาชูรอ หลังจากการเป็นชะฮีดของมุฮัมมัด อูน น้องชายของเขา ผู้เป็นลูกชายอีกคนหนึ่งของท่านหญิงซัยนับ กุบรอ (อ.) ก็ได้ออกไปสู่สนามญิฮาด และในขณะที่ทำการต่อสู้นั้น เขาได้รำพันบทโคลงปลุกใจและข่มขวัญศัตรูว่า :

                انْ تُنْکِرُونی‌ فَانا ابْنُ جَعْفرٍ    شهید صِدْقٍ فِی الجنانِ ازْهَرِ

                  یَطیر فیها بِجَناح اخْضَرِ       کفی بِهذا شَرَفاً فِی الْمَحْشَرِ

        "หากพวกเจ้าไม่รู้จักข้า ข้าคือบุตรชายของญะอ์ฟัร ฏ็อยยารผู้ซึ่งเป็นชะฮีดด้วยความสัจจริงและอยู่ในสวรรค์อันเจิดจรัส

    เขาโบยบินอยู่ในสวรรค์ด้วยปีกสีเขียว และด้วยเกียรตินี้ก็เพียงพอแล้ว (สำหรับข้า) ในทุ่งมะห์ชัร (สถานที่ถูกรวมในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ)” (16)

    ตามรายงานของบรรดานักประวัติศาสตร์ อูนเป็นชะฮีดคนที่สามจากบนีฮาชิม (17) ในการรบของอูนนั้น ได้สังหารทหารม้าสามคนและทหารราบสิบแปดคนของกองทัพฝ่ายศัตรู และในที่สุดอูนก็ถูกสังหารโดยอับดุลลอฮ์ บิน กุฏบะฮ์ ฏออี (18)

    หลังจากการเป็นชะฮีดของเด็กหนุ่มทั้งสองคนนั้น ท่านอิมามฮุเซน (อ.) ได้กอดร่างที่เปื้อนเลือดของพวกเขาและพาพวกเขาไปยังกระโจมโดยที่เท้าของพวกเขาลากไปกับพื้น ท่านหญิงซัยนับ (อ.) แสดงให้เห็นถึงความอดทนอดกลั้นอย่างมากของตน โดยขณะที่ผู้หญิงทุกคนออกมาจากกระโจม แต่เธอไม่ออกมา ประการแรก เพื่อมิให้ตนเองต้องสูญเสียความอดทนอดกลั้น และประการที่สอง เกรงว่าสายตาของท่านอิมามฮุเซน (อ.) ผู้เป็นพี่ชายจะมองเห็นท่านแล้วจะเจ็บปวดและละอายใจต่อท่าน


แหล่งอ้างอิง :

  1. อัลฟุตูห์, อิบนุอะอ์ซัม, เล่ม 5, หน้า 101; มักตะลุฮุเซน (อ.), คอวารัซมี, เล่ม 2, หน้า 12
  2. ตารีคฏอบารี, เล่ม 4, หน้า 325; อัลกามิล ฟิตตารีค, อิบนุอะซีร, เล่ม 4,หน้า 64
  3. นะฟะซุลมะฮ์มูม, เชคอับบาส กุมมี, เล่ม 1, หน้า 230; อัลมัลฮูฟ, ซัยยิดอิบนิฏอวูซ, หน้า 160
  4. อันซาบุลอัชรอฟ, บะลาซุรี, เล่ม 3, หน้า 189 และเล่ม 12, หน้า 159; ตารีคฏอบารี, เล่ม 4, หน้า 325; อัลอิรชาด, เชคมุฟีด, เล่ม 2, หน้า 100-101; มักตะลุลฮุเซน (อ.), ควารัซมี, เล่มที่ 2 หน้า 12-13
  5. อัลมัลฮูฟ, ซัยยิดอิบนิฏอวูซ, หน้า 160; มักตะลุลฮุเซน (อ.), ควารัซมี, เล่มที่ 2 หน้า 13; อัลฟุตูห์, อิบนุอะอ์ซัม, เล่ม 5, หน้า 101
  6. อัลมัลฮูฟ, ซัยยิดอิบนิฏอวูซ, หน้า 160
  7. มักตะลุลฮุเซน (อ.), ควารัซมี, เล่มที่ 2 หน้า 13-14; มักตะลุลฮุเซน (อ.), มุกัรร็อม, หน้า 245
  8. มักตะลุลฮุเซน (อ.), มุกัรร็อม, หน้า 245
  9. อันซาบุลอัชรอฟ, บะลาซุรี, เล่ม 3, หน้า 187
  10. บิฮารุลอันวาร, อัลลาะฮ์มัจญ์ลิซี, เล่ม 45, หน้า 14; อัลอะมาลี, เชคซอดูก, มัจลิสที่ 30; มักตะลุลฮุเซน, ควารัซมี, เล่ม 2, หน้า 11
  11. อัลอิกบาล บิลอะอ์มาล อัลฮะซะนะฮ์, อิบนุ ฏอวูซ, เล่มที่ 3, หน้า 78
  12. อัลอิรชาด, เชคมุฟีด, เล่ม 2, หน้า 69
  13. ตารีคฏอบารี, เล่ม 5, หน้า 387
  14. อัลมะนากิบ, อิบนุชะฮ์รอชูบ, เล่ม 3, หน้า 254
  15. อัลมะนากิบ, อิบนุชะฮ์รอชูบ, เล่ม 3, หน้า 254; ตารีคฏอบารี, เล่ม 5, หน้า 469
  16. อะอ์ยานุชชีอะฮ์, ซัยยิดมุห์ซิน อามีน อามิลี
  17. ตารีคฏอบารี, เล่ม 5, หน้า 447
  18. อันซาบุลอัชรอฟ, บะลาซุรี, เล่ม 2, หน้า 44

บทความโดย : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ

Copyright © 2024 SAHIBZAMAN.NET- สื่อเรียนรู้สำหรับอิสระชนคนรุ่นใหม่

ผู้เยี่ยมชมอยู่ขณะนี้

มี 818 ผู้มาเยือน และ ไม่มีสมาชิกออนไลน์ ออนไลน์

21506085
Today
Yesterday
This Week
Last Week
This Month
Last Month
All days
14314
45608
223587
20904429
990622
2496676
21506085

พฤ 19 ก.ย. 2024 :: 08:59:58