มีรายงานว่าหลังจากที่คาราวานของเชลยมาถึงเมืองชาม ยะซีดก็สั่งให้ควบคุมตัวพวกเขาไว้ในบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ติดกับวังของเขา บ้านหลังนี้เป็นซากปรักหักพังที่ใกล้จะพังทลายลง และอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ได้กล่าวว่า : "เขาให้เราอยู่ในบ้านหลังนี้ เพื่อให้มันพังทลายลงบนหัวของเราและเราจะได้ถูกฆ่า" บรรดาเชลยอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ ซึ่งไม่อาจปกป้องพวกเขาได้ทั้งจากความร้อนและความหนาวเย็น
ตามบางแหล่งอ้างอิงพวกเขา บรรดาเชลยอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้เป็นเวลาหลายวัน และบางแหล่งอ้างอิงบอกว่าเป็นเวลาหนึ่งเดือนครึ่ง และบางแหล่งอ้างอิงก็บอกว่าใช้เวลาอยู่ในบ้านหลังนั้นนานกว่าสี่สิบวัน
1- เชลยศึกอะฮ์ลุลบัยต์ไปถึงแผ่นดินชามอย่างไร?
ตามคำสั่งของยะซีด บิน มุอาวิยะฮ์ ซึ่งโดยผ่านจดหมาย เขาได้ขอให้อุบัยดิลลาฮ์ อิบนุ ซิยาด ส่งบรรดาเชลยพร้อมกับศีรษะของบรรดาชะฮีดไปยังดามัสกัส (1) อุบัยดิลลาฮ์จึงสั่งให้จัดเตรียมบรรดาเชลยอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) โดยที่พวกเขาได้โยงโซ่ตรวนไว้ที่คอของท่านอิมามซัจญาด (อ.) (2) และให้ครอบครัวของท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) ขึ้นขี่บนหลังอูฐที่เปลือยเปล่า ปราศจากผ้าคลุมและที่กันแดดใดๆ เหมือนกับบรรดาเชลยของกรุงโรมและเมืองดัยลัม พวกเขาได้พาเชลยเหล่านั้นจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่งและจากที่พักหนึ่งไปอีกที่พักหนึ่งและมุ่งหน้าไปยังเมืองชาม (3)
การส่งตัวเชลยแห่งอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ด้วยสภาพที่น่าเวทนาเช่นนี้ ทำให้หัวใจของอิบนุอับบาสเจ็บปวดมาก จนถึงขั้นที่เขาได้เขียนในจดหมายที่ส่งถึงยะซีดและวิพากษ์วิจารณ์เขาว่า : "จงรู้ไว้เถิดว่าหนึ่งในสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดในยุคสมัยของเจ้าคือการที่เจ้านำตัวบรรดาลูกสาวของอับดุลมุฏฏอลิบและลูกหลานตัวเล็กๆ ของเขาไปเป็นเชลยในเมืองชามเพื่อแสดงให้ประชาชนเห็นว่าเจ้าพิชิตและปกครองพวกเรา ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ถ้าหากเจ้ามีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยจากบาดแผลแห่งดาบของเรา ก็จงรู้ไว้เถิดว่าเจ้าจะไม่พ้นจากบาดแผลแห่งลิ้นของพวกเรา ทั้งวันและคืน..." (4)
2- การมาถึงของอะฮ์ลุลบัยต์ยังแผ่นดินชาม
เมื่อกองคาราวานเชลยศึกมาถึงแผ่นดินชาม เมืองดามัสกัสก็ปกคลุมไปด้วยการเฉลิมฉลองและความปิติยินดี ชาวเมืองได้แขวนผ้าม่านจากผ้าไหมที่ประตูและกำแพงเมืองเหมือนช่วงวันแห่งการเฉลิมฉลอง และแสดงความยินดีซึ่งกันและกัน และผู้หญิงของพวกเขาก็ตีกลองร้องระบำ (5) ในการบรรยายเกี่ยวกับสภาพช่วงการมาถึงยังแผ่นดินชามของเชลยศึกของอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) มีรายงานจากซอฮาบะฮ์คนหนึ่งของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ซึ่งมีนามว่า ซะฮ์ล บิน ซะอัด ซาอิดี ซึ่งเขากล่าวว่า : "ฉันมาถึงแผ่นดินชามระหว่างเดินทางไปยังบัยตุลมักดิส (เยรูซาเล็ม) ที่นั่นฉันเห็นเมืองที่เต็มไปด้วยต้นไม้และมีลำธารหลายสาย ประตูและผนังปิดด้วยผ้าม่านจากผ้าไหม ผู้คนก็อยู่ในความสนุกสนานรื่นเริงอย่างเต็มที่ และฉันเห็นบรรดานักร้องรำผู้หญิงกำลังตีกลอง ฉันพูดกับตัวเองว่า ดูเหมือนว่าชาวแผ่นดินชามกำลังเฉลิมฉลองอะไรที่เราไม่รู้ (ขณะที่ฉันกำลังคิดเรื่องนี้อยู่) ฉันบังเอิญพบชาวดามัสกัสกลุ่มหนึ่งกำลังพูดคุยกันอยู่ ฉันจึงถามพวกเขาว่า : "พวกท่านกำลังเฉลิมฉลองอะไรกันอยู่ที่เราไม่รู้หรือเปล่า?" พวกเขากล่าวว่า : "โอ้ผู้เฒ่า! ดูเหมือนท่านจะเป็นคนแปลกหน้านะ”
ฉันกล่าวว่า : "ใช่แล้ว! ฉันคือ ซะฮ์ล ซาอีดี ฉันได้เห็นท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์(ซ็อลฯ) และฉันรู้หะดีษต่างๆ ของท่าน" พวกเขากล่าวว่า : "โอ้ ซะฮ์ล ท่านไม่สงสัยบ้างหรือว่าทำไมเลือดจึงไม่ตกลงมาจากฟากฟ้า และทำไมแผ่นดินไม่กลืนกินชาวเมือง" ฉันกล่าวว่า : "เกิดอะไรขึ้นกระนั้นหรือ?" พวกเขากล่าวว่า : “โอ้ ซะฮ์ล ศีรษะท่านฮุเซน (อ.) ได้ถูกนำมาเป็นของขวัญจากอิรัก” ฉันกล่าวว่า : "ช่างน่าประหลาดยิ่ง พวกเขานำศีรษะของฮุเซนมา แล้วคนเหล่านี้กลับยินดีปรีดาเช่นนี้หรือ? พวกเขาจะเข้าจากประตูไหน?" พวกเขากล่าวว่า : "จากประตูซาอาต" (บางแหล่งอ้างอิงกล่าวว่า บรรดาเชลยเข้าสู่แผ่นดินชามนั้นผ่านทางประตูตูมาอ์) (6)
การสนทนาของเรายังไม่ทันสิ้นสุด ฉันก็เห็นธงโบกสะบัดติดตามกันมาในเส้นทาง แล้วฉันก็เห็นชายคนหนึ่งถือหอกมาซึ่งมีศีรษะหนึ่งเสียบอยู่ ซึ่งมีใบหน้าคล้ายกับใบหน้าของท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) มาก และต่อจากนั้นฉันก็เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังขี่อูฐเปลือยเปล่าไม่มีที่รองนั่ง ฉันรีบไปหาเธอแล้วกล่าวว่า : "ลูกสาวของฉันเธอเป็นใคร?" เธอกล่าวว่า : “ซะกีนะฮ์ ลูกสาวของท่านฮุเซน (อ.)” ฉันกล่าวว่า : “ต้องการให้ฉันช่วยอะไรไหม? ฉันชื่อ ซะฮ์ล บิน ซะอัด ฉันเคยเห็นตาทวดของเธอและได้รับฟังคำพูดของท่าน” เธอกล่าวว่า : “โอ้ ซะฮ์ล หากเป็นไปได้สำหรับท่าน จงบอกพวกเขาให้เอาศีรษะเหล่านี้ออกจากรอบตัวเรา เพื่อที่ผู้คนจะมุ่งไปที่การมองดูศีรษะเหล่านี้ และพวกเขาจะได้มองมาที่บรรดาผู้หญิงของท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) น้อยลง”
ซะฮ์ล ซาอิดีกล่าวว่า : "ฉันได้เข้าไปหาผู้ถือศีรษะของท่านอิมามฮุเซน (อ.) แล้วพูดกับเขาว่า : "เป็นไปได้ไหมที่เจ้าจะรับทองคำสี่สิบดินาร์สำหรับความต้องการที่ฉันมีต่อเจ้าและเจ้ายอมรับความต้องการของฉัน" เขากล่าวว่า: "ท่านต้องการอะไร?" ฉันกล่าวว่า : "จงเอาเงินนี้ไปแล้วก็เอาศีรษะนี้ไปข้างหน้าจากผู้หญิงเหล่านี้" ชายคนนั้นรับเงินแล้วก็นำศีรษะนั้นออกไปห่างจากบรรดาสตรีของครอบครัวท่านศาสดา (7)
3- การให้เหตุผลหักล้างของอิมามซัจจาด (อ.) ต่อชายชราชาวเมืองชาม
หลังจากที่บรรดาเชลยไปถึงดามัสกัสแล้ว พวกเขาถูกนำตัวเข้าไปในมัสยิดใหญ่ของเมืองและถูกคุมตัวไว้ข้างบันไดของมัสยิด ซึ่งเป็นสถานที่ซึ่งบรรดานักโทษจะถูกคุมตัวไว้เพื่อให้สาธารณชนได้เห็น และรอให้ยะซีดอนุญาตให้พวกเขาเข้าไปในที่ชุมนุม ในเวลานี้เอง มีชายชราคนหนึ่งเข้ามาหาพวกเขาแล้วกล่าวว่า : "ขอบคุณอัลลอฮ์ที่ทรงทำให้พวกเจ้าพบกับความพินาศ และทรงทำให้ประชาชนหลุดพ้นจากการกดขี่ของพวกเจ้า และทำให้หัวหน้าแห่งศรัทธาชน (ยะซีด) มีชัยชนะเหนือพวกเจ้า"
ท่านอิมามซัจญาด (อ.) กล่าวกับชายคนนั้นว่า : "โอ้ ผู้เฒ่าเอ๋ย! ท่านได้อ่านอัลกุรอานแล้วหรือยัง?" เขากล่าวว่า : “ใช่ ฉันได้อ่านมันแล้ว” ท่านอิมาม (อ.) กล่าวว่า : “ท่านเคยอ่านโองการนี้แล้วหรือยัง?” :
قُلْ لا أَسْئَلُكُمْ عَلَيْهِ أَجْراً إِلَّا الْمَوَدَّةَ فِي الْقُرْبى
“ จงกล่าวเถิด (โอ้มุฮัมมัด) ว่า ฉันจะไม่ขอรางวัลใดๆ จากพวกท่านสำหรับภารกิจของฉันนี้ นอกจากการรักเครือญาติที่ใกล้ชิด (อะฮ์ลุลบัยต์) ของฉัน” (8)
ชายชรากล่าวว่า : “ใช่ ฉันอ่านมันแล้ว”
ท่านอิมาม (อ.) กล่าวว่า : "พวกเรานี่แหละที่เป็นเครือญาติใกล้ชิดของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ที่อัลลอฮ์ทรงกำหนดให้การมีความรักต่อเราเป็นรางวัลของการประกาศสาส์น (ริซาละฮ์) ของพระองค์"
ท่านอิมาม (อ.) กล่าวต่ออีกว่า : “โองการนี้ :
وَآتِ ذَا الْقُرْبَى حَقَّهُ
“และจงมอบสิทธิ์แก่เครือญาติใกล้ชิด” (9)
ในอัลกุรอาน ท่านอ่านแล้วหรือยัง? ชายชรากล่าวว่า : “ใช่ ฉันก็อ่านมันแล้วเช่นกัน” ท่านอิมาม (อ.) กล่าวว่า : "โอ้ ผู้เฒ่าเอ๋ย! พวกเรานี่แหละ คือญาติใกล้ชิด (อัล กุรบา) ของผู้ส่งสารท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ)"
ท่านอิมาม (อ.) ถามอีกครั้งว่า : "โอ้ผู้เฒ่าเอ๋ย! ท่านได้อ่านโองการนี้ของอัลกุรอานแล้วหรือไม่?" :
وَٱعْلَمُوٓا۟ أَنَّمَا غَنِمْتُم مِّن شَىْءٍۢ فَأَنَّ لِلَّهِ خُمُسَهُۥ وَلِلرَّسُولِ وَلِذِى ٱلْقُرْبَىٰ وَٱلْيَتَـٰمَىٰ وَٱلْمَسَـٰكِينِ وَٱبْنِ ٱلسَّبِيلِ
“และพึงรู้เถิดว่า แท้จริงสิ่งใดที่พวกเจ้าได้มา (ไม่ว่าจากการทำศึก การค้า ฯลฯ) นั้น แน่นอนหนึ่งในห้า (คุมส์) ของมันเป็นของอัลลอฮ์ และเป็นของศาสนทูต และเป็นของเครือญาติใกล้ชิด (ของศาสนทูต) และบรรดาเด็กกำพร้า และบรรดาผู้ขัดสน และผู้อยู่ในการเดินทาง (ของพวกเขา)..." (10)
เขากล่าวว่า : "โองการนี้ฉันก็ได้อ่านมันเช่นกัน" ท่านอิมาม (อ.) กล่าวว่า : "จงรู้เถิดว่า ซะวิลกุรบา (เครือญาติใกล้ชิด) ในโองการนี้หมายถึงพวกเรา"
ท่านอิมาม (อ.) ถามอีกครั้งว่า : "คุณได้อ่านโองการนี้จากอัลกุรอานหรือไม่? ที่กล่าวว่า :
اِنَّما یُریدُ اللهُ لِیُذهِبَ عَنکُمُ الرِّجسَ اَهلَ البَیتِ وَ یُطَهِّرَکُم تَطهیرًا
"อันที่จริงอัลลอฮ์ทรงประสงค์ที่จะขจัดมลทินออกไปจากพวกเจ้า อะฮ์ลุลบัยต์ และ (ทรงประสงค์ที่จะ) ทำให้พวกเจ้าสะอาดบริสุทธิ์” (11)
ชายชรากล่าวว่า : “ฉันก็ได้อ่านโองการนี้แล้ว”
ท่านอิมาม (อ.) กล่าวว่า : "พวกเรา ก็คือ อะฮ์ลุลบัยต์ที่อัลลอฮ์ทรงขจัดมลทินออกไปจากพวกเขา"
ในเวลานี้เอง ชายชราได้เงียบไปไปชั่วครู่ และในขณะที่เขารู้สึกเสียใจกับคำพูดของเขา เขาก็เงยหน้าขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วกล่าวว่า : "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ขอสำนึกผิดต่อพระองค์ต่อสิ่งที่ข้าพระองค์ได้กล่าวไป และต่อการเป็นศัตรูกับวงศ์วานของมุฮัมมัด (ซ็อลฯ) และขอออกห่างจากบรรดาศัตรูของครอบครัวของมุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ทั้งจากมนุษย์และญิน" (12) มีรายงานว่าบรรดาสายลับแจ้งยะซีดเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ และเขาได้สั่งให้สังหารชายชราคนนั้น (13)
4- อะฮ์ลุลบัยต์เข้าสู่ตำหนักของยะซีด
พร้อมกับการมาถึงเมืองชามของเชลย ยะซีดได้จัดงานเลี้ยงสุราสาธารณะ (14) ตามคำสั่งของเขา ชาวเมืองชามได้จัดการชุมนุมใหญ่ซึ่งมีขุนนางและบุคคลสำคัญ ๆ ของเมืองชามจำนวนมากเข้าร่วม จากนั้นยะซีดก็นั่งในที่ชุมนุมนี้และเชิญผู้อาวุโสทั้งหมดของเมืองชามเข้ามานั่งรายล้อมรอบตัวเขา (15) จากนั้นก็สั่งให้นำบรรดาเชลยเข้ามา เมื่อบรรดาเชลยมาถึงประตูวัง มุฮัฟฟิร บิน ษะอ์ละบะฮ์ ผู้รับผิดชอบการนำพาเชลยจากกูฟะฮ์ยังเมืองชาม โดยคำสั่งของอุบัยดิลลาฮ์ อิบนิ ซิยาด (16) ได้พูดขึ้นด้วยเสียงดังว่า : "นี่คือ มุฮัฟฟัร บิน ษะอ์ละบะฮ์ ผู้ที่นำคนชั่วเหล่านี้มายังท่านอมีรุลมุอ์มินีน!! ท่านอิมามซัจญาด (อ.) กล่าวว่า : “คนที่มารดาของมุฮัฟฟัรได้ให้กำเนิดนั้นเป็นผู้ต่ำช้าและชั่วร้ายยิ่งกว่า” (17)
มีรายงานว่าท่านอิมามซัจญาด (อ.) เป็นเชลยคนแรกที่เข้ามาถึงยะซีด บิน มุอาวิยะฮ์ คนรับใช้ของยะซีดได้พาท่านเข้าไปในวังในสภาพที่มือทั้งสองของท่านถูกมัดไว้ที่คอ จากนั้น บรรดาเชลยศึกและสตรีคนอื่นๆ ของอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ก็ถูกนำเข้าไปในที่ประชุมโดยถูกมัดด้วยเชือกติดกัน (18) หลังจากที่อะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ได้เข้าไปยังที่ประชุมของยะซีดแล้ว ท่านอิมาม (อ.) ได้กล่าวกับเขาว่า : "โอ้ ยะซีด ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ เจ้าจะคิดอย่างไรหากท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) ได้เห็นพวกเราถูกมัดเช่นนี้?" (19) มีรายงานว่า ฟาฏิมะฮ์ ลูกสาวของท่านอิมามฮุเซน (อ.) ก็ได้ตะโกนขึ้นว่า : "โอ้ ยะซีด ลูกหลานผู้หญิงของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) ต้องตกเป็นเชลยในสภาพแบบนี้อย่างนั้นหรือ?” (20) ดังนั้นยะซีดจึงจำเป็นต้องสั่งให้พวกเขาถอดเชือกออกจากคอของสตรีเหล่านั้น
5- พานทอง
ในเวลานี้เอง คนรับใช้ของยะซีดได้วางศีรษะของท่านอิมามฮุเซน (อ.) ไว้ในพานทองคำ (21) และนำมันไปวางลงเบื้องหน้าของยะซีด เมื่อยะซีดได้เห็นศีรษะจึงกล่าวว่า :
يُفلِقنَ هاماً مِن رِجالٍ أَعِزَّةٍ. عَلَينا وَهُم كانوا أَعَقَّ وَأَظلَما
"เราได้แยกศีรษะของเหล่าบุรุษที่แข็งกร้าวต่อเรา และพวกเขาก็เป็นผู้ทรยศและอธรรมอย่างมากต่อเรา" (22)
5.1 - บทกวีของยะห์ยา บิน หะกัม
ยะห์ยา บิน หะกัม น้องชายของมัรวาน บิน หะกัม ซึ่งนั่งอยู่กับยะซีดได้กล่าวว่า :
لَهامٌ بِجَنبِ الطَّفِّ أدنى قَرابَةً مِنِ ابنِ زِيادِ العَبدِ ذِي الحَسَبِ الوَغلَ
سُمَيَّةُ أمسى نَسلُها عَدَدَ الحَصى وبِنتُ رَسولِ اللّه ِ لَيسَ لَها نَسل
"แน่นอนยิ่งบรรดาศีรษะ (ที่ถูกแยกออกจากร่าง) ที่ฏ็อฟ (กัรบะลา) ในความเป็นเครือญาตินั้นยังใกล้ชิด (กับเรา) มากกว่าอิบนุซิยาด ทาสที่มีชาติตระกูลต่ำ ซุมัยยะฮ์ซึ่งเชื้อสายของนางนั้นมีจำนวนเท่ากับก้อนกรวด ในขณะที่บุตรีของศาสนทูตของอัลลอฮ์ไม่เหลือเชื้อสายสำหรับนาง" (23)
5.2 - การวิพากษ์วิจารณ์ยะซีดของอะฮ์ลุลบัยต์
ยะซีดตบไปที่หน้าอกของยะห์ยาแล้วกล่าวว่า : "จงเงียบเสียเถิด (ในเวลาเช่นนี้ เจ้าจะมารู้สึกเสียใจอะไรกับการมีลูกน้อยของฟาฏิมะฮ์?") (24) จากนั้นยะซีดก็หันไปหาประชาชนในที่ชุมนุม และกล่าวว่า : “พวกท่านรู้ไหมว่าเหตุการณ์นี้ (การเป็นชะฮีดของท่านอิมามฮุเซน) เกิดขึ้นกับเจ้าของศีรษะนี้ได้อย่างไร? ศีรษะนี้คุยโวเกี่ยวกับฉันและพูดว่า : "พ่อของฉันดีกว่าพ่อของยะซีด แม่ของฉันดีกว่าแม่ของเขา และปู่ของฉันก็ดีกว่าปู่ของยะซีด และฉันดีก็กว่ายะซีดและนี่คือสาเหตุที่เขาถูกฆ่า แต่ที่เขาบอกว่าพ่อของฉันดีกว่าพ่อของยะซีด พ่อของฉันโต้แย้งกับพ่อของเขา และพระเจ้าทรงตัดสินให้เป็นคุณต่อพ่อของฉันและให้เป็นโทษต่อพ่อของเขา แต่ที่ว่าแม่ของเขาดีกว่าแม่ของฉันนั้น ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า เขาพูดจริง ฟาฏิมะฮ์ (อ.) บุตรีของท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) ดีกว่าแม่ของฉัน แต่คำพูดของเขาที่ว่าตาของเขาที่ดีกว่าปู่ของยะซีด นั้นไม่มีใครที่ศรัทธาในอัลลอฮ์และวันพิพากษา จะกล่าวว่าเขาดีกว่ามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) แต่ที่เขาบอกว่าเขาดีกว่าฉัน บางทีเขาอาจจะไม่ได้อ่านโองการนี้ของอัลกุรอานที่กล่าวว่า :
قُلِ اللَّهُمَّ مَالِكَ الْمُلْكِ تُؤْتِي الْمُلْكَ مَنْ تَشَاءُ وَتَنْزِعُ الْمُلْكَ مِمَّنْ تَشَاءُ وَتُعِزُّ مَنْ تَشَاءُ وَتُذِلُّ مَنْ تَشَاءُ ۖ بِيَدِكَ الْخَيْرُ ۖ إِنَّكَ عَلَىٰ كُلِّ شَيْءٍ قَدِيرٌ
"จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าข้าแต่อัลลอฮ์ผู้ทรงอภิสิทธิ์แห่งอำนาจทั้งปวง พระองค์จะทรงประทานอำนาจแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และจะทรงถอดถอนอำนาจจากผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และจะทรงให้เกียรติแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และจะทรงยังความต่ำต้อยแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ ความดีทั้งหลายนั้นอยู่ที่พระหัตถ์ของพระองค์ แท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้เดชานุภาพเหนือทุกสิ่ง" (25) – (26)
จากนั้นเขาก็หันไปหาท่านอิมามซัจญาด (อ.) และกล่าวว่า : “โอ้ บุตรของฮุเซน (อ.) พ่อของเจ้าไม่ใส่ใจต่อความสัมพันธ์ทางเครือญาติของเขา และไม่ใส่ใจกับตำแหน่งและสถานะภาพของฉัน และเขายืนขึ้นขัดแย้งกับฉันในอำนาจการปกครอง ดังนั้นอัลลอฮ์จึงทรงกระทำกับเขาดังที่เจ้าเห็น” ท่านอิมาม (อ.) กล่าวว่า :
ما أَصابَ مِنْ مُصِیبَةٍ فِی الْأَرْضِ وَ لا فِی أَنْفُسِکُمْ إِلَّا فِی کِتابٍ مِنْ قَبْلِ أَنْ نَبْرَأَها إِنَّ ذلِکَ عَلَی اللهِ یَسِیرٌ
"ไม่มีเคราะห์กรรมอันใดเกิดขึ้นในแผ่นดินนี้ และในตัวของพวกเจ้าเอง เว้นแต่มันมีอยู่ในบันทึกก่อนหน้าที่เราจะบังเกิดมัน แท้จริงสิ่งนั้นเป็นเรื่องง่ายสำหรับอัลลอฮ์" (27)
ยะซีดกล่าวแก่คอลิด ลูกชายของเขาว่า : “จงตอบเขาไปซิ” คอลิดไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ยะซีดจึงกล่าวว่า :
وَ ما أَصابَكُمْ مِنْ مُصِيبَةٍ فَبِما كَسَبَتْ أَيْدِيكُمْ وَ يَعْفُوا عَنْ كَثِيرٍ
“และเคราะห์กรรมอันใดที่ประสบแก่พวกเจ้า ก็เนื่องด้วยน้ำมือของพวกเจ้าได้ขวนขวายได้ และพระองค์ทรงอภัย (ความผิดให้) มากต่อมากแล้ว" (28) - (29)
ในเวลานี้เอง ชายชาวเมืองชามคนหนึ่งได้ยืนขึ้นและกล่าวว่า : "ปล่อยให้ฉันฆ่าเขาเถอะ" ท่านหญิงซัยนับ (อ.) ได้โอบกอดท่านอิมาม (อ.) ไว้เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้การกระทำนี้เกิดขึ้น (30)
5.3 - คำขอของชายหน้าแดงต่อยะซีด
จากนั้นยะซีดก็เรียกบรรดาผู้หญิงและเด็กๆ ของอะห์ลบัยต์ (อ.) ให้มาอยู่ต่อหน้าเขา ในเวลานี้เอง ชายหน้าแดงคนหนึ่งได้ยืนขึ้นจากท่ามกลางชาวเมืองชามและกล่าวว่า : "โอ้ ท่านอมีรุลมุอ์มินีน เด็กผู้หญิงคนนี้ (ฟาฏิมะฮ์ บินติ ฮุเซน (อ.) มอบนางให้ข้าพเจ้าเถิด" ฟาฏิมะฮ์หลบไปอยู่กับท่านหญิงซัยนับ (อ.) ป้าของเธอ ท่านหญิงซัยนับ (อ.) กล่าวกับชายชาวเมืองชามคนนั้นว่า : "ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ เจ้าโกหกและกำลังนำความอัปยศมาสู่ตัวเอง ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ทั้งเจ้าและยะซีดไม่มีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้น" ยะซีดโกรธและกล่าวว่า : "เจ้านั้นแหละโกหก ฉันสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้ และถ้าฉันต้องการฉันก็จะทำ"
ท่านหญิงซัยนับ (อ.) กล่าวว่า : "ขอสาบานต่ออัลลอฮ์! อัลลอฮ์ไม่เคยมอบสิทธิอำนาจเช่นนี้แก่เจ้า เว้นแต่เจ้าจะละทิ้งบทบัญญัติศาสนาของเราและไปนับถือศาสนาอื่น ยะซีดโกรธมากและกล่าวว่า : "เจ้าพูดกับฉันแบบนี้หรือ? พ่อและน้องชายของเจ้าต่างหากเป็นผู้ละทิ้งศาสนานี้" ท่านหญิงซัยนับ (อ.) กล่าวว่า : "เจ้า พ่อของเจ้าและปู่ของเจ้าได้รับการชี้นำมาสู่ศาสนาของอัลลอฮ์ และศาสนาของพ่อและของพี่ชายของฉัน หากว่าเจ้าเป็นมุสลิม" ยะซีดตะโกนว่า : "เจ้าพูดปด โอ้ศัตรูของอัลลอฮ์" ท่านหญิงซัยนับ (อ.) กล่าวว่า : “ขณะนี้เจ้าเป็นหัวหน้าและเป็นผู้ปกครองแล้ว และเจ้ากำลังดูถูกพวกเราอย่างอธรรม และกำลังเอาชนะเราด้วยอำนาจของเจ้า” ดูเหมือนว่ายะซีดจะละอายใจกับคำพูดของท่านหญิงผู้นี้ เขาจึงก้มหน้าลงและเงียบไป ชายชาวเมืองชามผู้นั้นยืนขึ้นอีกครั้งและร้องขอฟาฏิมะฮ์จากยะซีด ยะซีดตะคอกใส่และกล่าวกับเขาว่า : "ไปให้พ้น ขออัลลอฮ์ทรงประทานความตายให้แก่เจ้า” (31)
5.4 - บทกวีของอิบนุ ซิบะอ์รอ
จากนั้น ยะซีดก็หยิบไม้เท้าของเขาและในขณะที่ตีริมฝีปากและฟันของท่านอิมาม (อ.) เขาได้กล่าวบทกวีเหล่านี้ของอิบนุ ซิบะอ์รอ ว่า :
لعبت هاشم بالملک فلا خبر جاء ولا وحی نزل
لیت اشیاخی ببدر شهدوا جزع الخزرج من وقع الاسل
لاهلوا واستهلوا فرحا ولقالوا یا یزید لا تشل
فجزیناهم ببدر مثلا واقمنا مثل بدر فاعتدل
لست من خندف ان لم انتقم من بنی احمد ما کان فعل
"บนีฮาชิมได้เล่นกับอำนาจการปกครอง ไม่มีข่าว (เร้นลับจากฟากฟ้า) ใดๆ มา และไม่มีวะห์ยู (วิวรณ์) ใดๆ ถูกประทานลงมา
ฉันปรารถนาเหลือเกินว่าบรรดาผู้อาวุโสของฉันที่ถูกสังหารในบะดัรจะยังมีชีวิตอยู่ และเห็นชนเผ่าค็อซร็อจกรีดร้องด้วยดาบและหอกของเรา
และชื่นชมยินดีและเรียกคนอื่นๆ มาร่วมชื่นชมยินดี และพูดว่า : โอ้ ยะซีด ขอให้มือของเจ้าอย่าได้พิการ
เราได้แก้แค้นพวกเขาให้กับ (ผู้ที่ถูกสังหารของเราในสงคราม) บะดัรอย่างสาสม และนี่ก็เท่ากับจำนวนผู้เสียชีวิตของเราในบะดัร
ฉันไม่ใช่ลูกหลานของค็อนดัฟ (อุตบะฮ์) หากฉันไม่แก้แค้นลูกหลานของอะห์มัดในสิ่งที่พวกเขากระทำ (กับเรา)"
บทกวีเหล่านี้เป็นบทกวีของอิบนุ ซิบะอ์รอ ซึ่งเขาได้กล่าวในวันสงครามอุฮุดและในช่วงเวลาแห่งการเป็นชะฮีดของฮัมซะฮ์ แต่ยาซีดได้เพิ่มเติมเนื้อหาลงไปด้วย (32)
ตามคำรายงานหนึ่ง ยะซีดได้กล่าวว่า : เรื่องราวของเราและศีรษะ (ของฮุเซน) นี้ ก็คือเรื่องราวของบทกวีของฮุซอยน์ บิน ฮุมมาม มุรรี ซึ่งกล่าวว่า :
يُفلِقنَ هاماً مِن رِجالٍ أَعِزَّةٍ. عَلَينا وَهُم كانوا أَعَقَّ وَأَظلَما
"เราได้แยกศีรษะของเหล่าบุรุษที่แข็งกร้าวต่อเรา และพวกเขาก็เป็นผู้ทรยศและอธรรมอย่างมากต่อเรา" (33)
5.5 - การวิพากษ์วิจารณ์ของอบู บัรซะฮ์ อัสละมี
ในเวลานี้เอง เมื่อยะซีดใช้ไม้ตีริมฝีปากและฟันของท่านอิมาม (อ.) และรำพันบทกวีของอิบนุ ซิบะอ์รอ ซอฮาบะฮ์คนหนึ่งของท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) ชื่ออบู บัรซะฮ์ อัสละมี ได้วิพากษ์วิจารณ์เขาและกล่าวว่า : "จงเอาไม้เท้าของเจ้าออกไป ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ฉันเคยเห็นบ่อยครั้งที่ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) วางริมฝีปากของท่านบนริมฝีปากของศีรษะนี้แล้วจูบมัน" ยะซีดโกรธและสั่งให้ไล่เขาออกจากที่ชุมนุม (34)
แหล่งที่มา :
1. ตารีค ฏอบารี, เล่ม 4, หน้า 352; อัลกามิล ฟิตตารีค, อิบนุอะซีร, เล่ม 4, หน้า 83
2. อันซาบุลอัชรอฟ, บะลาซุรี, เล่ม 3, หน้า 214; ตารีค ฏอบารี, หน้า 352; อัลอิรชาด, เชคมุฟีด, หน้า 119; อัลกามิล ฟิตตารีค, อิบนุอะซีร, เล่ม 4, หน้า 83
3. อัลฟุตูห์ , อิบนุอะอ์ซัม, เล่ม 5, หน้า 127; มักตัล อัลฮุซัยน์ (อ.), ควาร็อซมี, เล่ม 2, หน้า 55-56
4. ตารีค ยะอ์กูบี, เล่ม 2, หน้า 250; มักตัล อัลฮุซัยน์ (อ.), ควาร็อซมี, เล่ม 2, หน้า 78-79
5. มักตัล อัลฮุซัยน์ (อ.), ควาร็อซมี, เล่ม 2, หน้า 60
6. อัลฟุตูห์ , อิบนุอะอ์ซัม, เล่ม 3, หน้า 129-130
7. มักตัล อัลฮุซัยน์ (อ.), ควาร็อซมี, เล่ม 2, หน้า 60-61; บิฮารุลอันวาร, อัลลามะฮ์มัจญ์ลิซี, เล่ม 45, หน้า 127
8. อัลกุรอานบทอัลกุรอานบทอัชชูรอ โองการที่ 23
9. อัลกุรอานบทอัลอิสรออ์ โองการที่ 26
10.อัลกุรอานบทอัลอันฟาล โองการที่ 41
11. อัลกุรอานบทอัลอะห์ซาบ โองการที่ 33
12. อัลฟุตูห์ , อิบนุอะอ์ซัม, เล่ม 5, หน้า 130; มักตัล อัลฮุซัยน์ (อ.), ควาร็อซมี, เล่ม 2, หน้า 61-62; อัลลุฮูฟ, ซัยยิดอิบนุฏอวูซ, หน้า 102-103; อัลอิห์ติญาจ, ฏอบัรซี, เล่ม 2, หน้า 33-34
13. อัลลุฮูฟ, ซัยยิดอิบนุฏอวูซ, หน้า 103
14. ตารีค ฏอบารี, เล่ม 4, หน้า 352; อัลกามิล ฟิตตารีค, อิบนุอะซีร, เล่ม 4, หน้า 84
15. ตารีค ฏอบารี, เล่ม 4, หน้า 352; มักตัล อัลฮุซัยน์ (อ.), ควาร็อซมี, เล่ม 2, หน้า 61; อัลมุนตะซ็อม ฟี ตารีค อัลอุมัม วัลมุลูก, อิบนุเญาซี, เล่ม 5, หน้า 32
16. อันซาบุลอัชรอฟ, บะลาซุรี, เล่ม 3, หน้า 214; ตารีค ฏอบารี, เล่ม 4, หน้า 352; อัลอิรชาด, เชคมุฟีด, หน้า 119; อัลกามิล ฟิตตารีค, อิบนุอะซีร, เล่ม 4, หน้า 84
17. อัลอิรชาด, เชคมุฟีด, หน้า 119; อิอ์ลามุลวะรอ, ฏอบัรซี, เล่ม 1, หน้า 473
18. อัลอิรชาด, เชคมุฟีด, หน้า 119; มักตัล อัลฮุซัยน์ (อ.), ควาร็อซมี, เล่ม 2, หน้า 62; อิอ์ลามุลวะรอ, ฏอบัรซี, เล่ม 1, หน้า 473; อัลลุฮูฟ, ซัยยิดอิบนุฏอวูซ, หน้า 103
19. อัฏฏอบะกอต อัลกุบรอ, อิบนุซะอัด, เล่ม 5, หน้า 163; อัลลุฮูฟ, ซัยยิดอิบนุฏอวูซ, หน้า 103; อัลกามิล ฟิตตารีค, อิบนุอะซีร, เล่ม 4, หน้า 86; มุซีรุลอะห์ซาน, อิบนุนะมา, หน้า 79
20. อัลอิมามมะฮ์ วัซซิยาซะฮ์, อิบนุกุตัยบะฮ์, เล่ม 2, หน้า 13; ตารีค ฏอบารี, เล่ม 4, หน้า 353; อัลกามิล ฟิตตารีค, อิบนุอะซีร, เล่ม 4, หน้า 86; มุซีรุลอะห์ซาน, อิบนุนะมา, หน้า 79; อัฏฏอบะกอต อัลกุบรอ, อิบนุซะอัด, เล่ม 8, หน้า 346
21. อัลฟุตูห์ , อิบนุอะอ์ซัม, เล่ม 5, หน้า 128; มักตัล อัลฮุซัยน์ (อ.), ควาร็อซมี, เล่ม 2, หน้า 57
22. อันซาบุลอัชรอฟ, บะลาซุรี, เล่ม 3, หน้า 213
23. ตารีค ฏอบะรี, เล่ม 5, หน้า 460; อัลมุอ์ญัม อัลกะบีร, เล่ม 3, หน้า 116
24. ตารีค ฏอบะรี, เล่ม 4, หน้า 352; อัลมะนากิบ, อิบนุชะฮ์รอชูบ, เล่ม 3, หน้า 261
25. อัลกุรอานบทอาลิอิมรอน โองการที่ 26
26. อัลฟุตูห์ , อิบนุอะอ์ซัม, เล่ม 5, หน้า 129; ตารีค ฏอบะรี, เล่ม 4, หน้า 355; อัลกามิล ฟิตตารีค, อิบนุอะซีร, เล่ม 4, หน้า 85
27. อัลกุรอานบทอัลหะดีด โองการที่ 22
28. อัลกุรอานบทอัชชูรอ โองการที่ 30
29. ตารีค ฏอบะรี, เล่ม 4, หน้า 355; อัลฟุตูห์ , อิบนุอะอ์ซัม, เล่ม 5, หน้า 130-131; ตัซกิร่อตุลค่อวาศ, อุบนุญูซี, หน้า 343
30. มะกอติลุฏฏอลิบีน, อบุลฟะร็อจ อิศฟะฮานี, หน้า 120
31. ตารีค ฏอบะรี, เล่ม 4, หน้า 353; อัลอิรชาด, เชคมุฟีด, เล่ม 2, หน้า 121
32. อัลฟุตูห์ , อิบนุอะอ์ซัม, เล่ม 5, หน้า 129; ตัซกิร่อตุลค่อวาศ, อุบนุญูซี, หน้า 235; มักตัล อัลฮุซัยน์ (อ.), ควาร็อซมี, หน้า 59
33. ตารีค ฏอบะรี, เล่ม 4, หน้า 356; มักตัล อัลฮุซัยน์ (อ.), ควาร็อซมี, หน้า 57; ตัซกิร่อตุลค่อวาศ, อุบนุญูซี, หน้า 341; อัลฟุตูห์ , อิบนุอะอ์ซัม, เล่ม 5, หน้า 129
34. ตารีค ฏอบะรี, เล่ม 4, หน้า 356; มักตัล อัลฮุซัยน์ (อ.), ควาร็อซมี, หน้า 57; ตัซกิร่อตุลค่อวาศ, อุบนุญูซี, หน้า 235; อิบนุอะอ์ซัม, เล่ม 5, หน้า 129
บทตวามโดย : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ
Copyright © 2024 SAHIBZAMAN.NET- สื่อเรียนรู้สำหรับอิสระชนคนรุ่นใหม่