เชลยแห่งอะฮ์ลุลบัยต์ของอิมามฮุเซน (อ.) ในแผ่นดินชาม (ตอนที่สอง)
Powered by OrdaSoft!
No result.
เชลยแห่งอะฮ์ลุลบัยต์ของอิมามฮุเซน (อ.) ในแผ่นดินชาม (ตอนที่สอง)

6 - สุนทรพจน์ของท่านหญิงซัยนับ กุบรอ (อ.) ในตำหนักของยะซีด

    หลังจากที่ยาซีดได้กระทำการอุกอาจและดูหมิ่นเหยียดหยามต่อศีรษะของท่านอิมามฮุเซน (อ.) และการนำเอาบทกวีของอิบนุ ซิบะอ์รอ มากล่าว  ท่านหญิงซัยนับนับ กุบรอ (อ.) ได้ยืนขึ้นและกล่าวว่า :

الْحَمْدُ لِلَّهِ رَبِّ الْعالَمِينَ، وَصَلَّى اللَّهُ عَلَى جَدِّي سَيِّدِ الْمُرْسَلِينَ، صَدَقَ اللَّهُ سُبْحَانَهُ كَذَلِكَ يَقُولُ: ثُمَّ كانَ عاقِبَةَ الَّذِينَ أَساؤُا السُّواى‏ أَنْ كَذَّبُوا بِآياتِ اللَّهِ وَكانُوا بِها يَسْتَهْزِؤُنَ

          "มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์แด่อัลลอฮ์ พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก และขออัลลอฮ์ทรงประทานพรแด่ตาของข้าพระองค์ หัวหน้าของปวงศาสนทูต อัลลอฮ์(ซ.บ.) ทรงตรัสสมจริงแล้ว โดยที่พระองค์ทรงตรัสว่า : "แล้วบั้นปลายของบรรดาผู้กระทำความชั่วก็คือความชั่ว โดยที่พวกเขาปฏิเสธต่อโองการทั้งหลายของอัลลอฮ์และพวกเขาเย้ยหยันมัน” (1)

          “โอ้ ยะซีด เจ้าคิดหรือว่าด้วยการปิดเส้นทางทั้งหลายของแผ่นดินและทำให้ขอบฟ้าคับแคบลงต่อเรา และลากจูงเราเหมือนเชลยจากด้านทิศหนึ่งไปอีกทิศหนึ่งในขณะที่เจ้ามีอำนาจเหนือเรานั้น จะทำให้เราต่ำต้อยในสายพระเนตรของอัลลอฮ์? และจะทำให้เจ้าได้รับเกียรติและความกุรณาจากพระองค์? ดังนั้น สายลมแห่งความภาคภูมิใจจึงพัดเข้าจมูกของเจ้า และเจ้าหลงตัวเอง ภูมิใจและมีความสุขที่เห็นว่าโลกตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้า และกิจการต่างๆ ของเจ้าได้รับการจัดเตรียมแล้ว หากวันนี้อำนาจและการปกครองของเราได้ถูกเปลี่ยนมือไปยังเจ้าแล้ว ก็จงรออีกสักหน่อยเถิด เจ้าลืมพระดำรัสของอัลลอฮ์ไปแล้วหรือ ที่พระองค์ทรงตรัสว่า :

وَ لا يَحْسَبَنَّ الَّذِينَ كَفَرُوا أَنَّما نُمْلِي لَهُمْ خَيْرٌ لِأَنْفُسِهِمْ إِنَّما نُمْلِي لَهُمْ لِيَزْدادُوا إِثْماً وَلَهُمْ عَذابٌ مُهِينٌ

           “และบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา อย่าได้คิดเป็นอันขาดว่าที่เราประวิงเวลาให้แก่พวกเขานั้น เป็นการดีสำหรับตัวของพวกเขา แท้จริงที่เราประวิงเวลาให้แก่พวกเขานั้น เพื่อพวกเขาจะได้เพิ่มพูนบาป และสำหรับพวกเขานั้น คือการลงโทษอันแสนอัปยศ" (2)

          "โอ้ ลูกของฏุละกออ์ (บรรดาผู้ปฏิเสธที่ได้รับการปล่อย)! มันยุติธรรมแล้วหรือไม่ที่เจ้าเอาบรรดาสตรีและทาสหญิงของเจ้าไปไว้หลังม่าน แต่เจ้าได้จับบรรดาบุตรสาวของศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) เป็นเชลยและลากจูงพวกเขาไปทางนั้นมาทางนี้ เจ้าได้ทำลายเครื่องปกปิดของพวกเขาและเปิดเผยใบหน้าของพวกเขาต่อสายตาผู้คน ทำให้พวกเขาถูกลากพาตัวจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่งโดยศัตรู เพื่อให้ผู้คนตามแหล่งน้ำและในคฤหาสน์นั่งดูพวกเขา และผู้คนทั้งใกล้และไกล ทั้งต่ำต้อยและมีเกียรติต่างมองดูใบหน้าของพวกเขา ทั้งๆ ที่พวกเขาจะไม่มีผู้ชายและผู้ปกป้องคุ้มครองใดๆ เลย และจะคาดหวังการคุ้มครองดูแลจากคนที่ (ย่าของเขา) กินตับของบรรดาผู้บริสุทธิ์เข้าไปในปากของตน (ชี้ถึงเรื่องราวของนางฮินด์ย่าของยะซีด ผู้ควักเอาตับของท่านฮัมซะฮ์ที่เป็นชะฮีดในสงครามอุฮุดออกมากิน) และเนื้อหนังของเขาก็เติบโตขึ้นมาจากเลือดของบรรดาชะฮีดได้อย่างไร?! คนที่มองเราด้วยความไม่พอใจ ความเกลียดชัง ความโกรธแค้นและอาฆาตนั้นจะรั้งรอจากความเกลียดชังต่อเรา อะฮ์ลุลบัยต์ได้อย่างไร? จากนั้นเจ้าก็ได้ใช้ไม้เท้าตีริมฝีปากและฟันของอบาอับดิลลาฮ์ (อิมามฮุเซน) โดยไม่รู้สึกผิดบาปและไม่ถือเป็นเรื่องร้ายแรง และกล่าวว่า : "ฉันปรารถนาเหลือเกินว่าบรรดาผู้อาวุโสของฉัน (ที่ถูกสังหาร)ในบะดัรจะยังมีชีวิตอยู่" ทำไมเจ้าจะไม่พูดเช่นนั้น และจะไม่เรียกหาบรรพบุรุษของเจ้าเล่า?! ก็เพราะว่าเจ้าได้แก้แค้นแล้วด้วยการหลั่งเลือดของวงศ์วานของมูฮัมหมัด (ซ็อลฯ) และดวงดาวบนแผ่นดินจากวงศ์วานของอบูฏอลิบ และบาดแผลของเจ้าก็ได้รับการเยียวยาแล้ว  จงรู้เถิดว่าในไม่ช้าเจ้าก็จะติดตามพวกเขาไป และเจ้าจะปรารถนาว่า เจ้าน่าจะพิการและเป็นใบ้ และไม่น่าจะพูดเลยว่า "พวกเขาจได้ชื่นชมยินดีและเรียกคนอื่นๆ มาร่วมชื่นชมยินดี"

          ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า! ได้โปรดเอาสิทธิของพวกเรากลับคืนมาและโปรดแก้แค้นจากผู้ที่อธรรมต่อพวกเราด้วยเถิด โอ้ ยะซีด! ด้วยเลือดที่เจ้าหลั่งจากลูกหลานของท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) และเกียรติที่เจ้าได้ทำลายลงจากพวกเขา เจ้าจะไปปรากฏตัวต่อหน้าท่าน (ซ็อลฯ) และพระดำรัสนี้ของอัลลอฮ์ ผู้ทรงสูงส่ง ที่พระองค์ทรงว่า :

 وَ لا تَحْسَبَنَّ الَّذِينَ قُتِلُوا فِي سَبِيلِ اللَّهِ أَمْواتاً بَلْ أَحْياءٌ عِنْدَ رَبِّهِمْ يُرْزَقُونَ فَرِحِينَ بِما آتاهُمُ اللَّهُ مِنْ فَضْلِهِ

          "และเจ้าจงอย่าได้คิดเป็นอันขาดว่า บรรดาผู้ที่ถูกฆ่าในทางของอัลลอฮ์นั้นตาย มิได้พวกเขายังมีชีวิตอยู่ ณ พระเจ้าของพวกเขา ในสภาพที่ได้รับปัจจัยยังชีพ พวกเขามีความปลาบปลื้มต่อสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประทานให้แก่พวกเขา จากความกรุณาของพระองค์ " (3) (4)

          ท่านหญิงซัยนับ (อ.) ยังคงกล่าวต่อไป แต่หลังจากสุนทรพจน์นี้ของท่านจบลง ยะซีดก็หมดหนทางและหมดปัญญาที่จะตอบโต้ใดๆ ต่อท่าน

7- ราชทูตแห่งกรุงโรมและที่ชุมนุมของยะซีด

    ในช่วงเวลาที่บรรดาเชลยถูกควบคุมตัวอยู่ในเมืองชาม ยะซีด บิน มุอาวิยะฮ์ ได้จัดให้มีการชุมนุมขึ้นหลายครั้ง ในการชุมนุมเหล่านี้ ศีรษะของท่านอิมามฮุเซน (อ.) จะถูกนำมาวางต่อหน้ายะซีด และเขาจะจัดงานเลี้ยงดื่มและวางศีรษะไว้ข้างหน้าตนและดื่มสุรา (5) วันหนึ่งเขาได้เชิญราชทูตของกษัตริย์แห่งกรุงโรมเพื่อให้เข้าร่วมการชุมนุมครั้งหนึ่ง ราชทูตโรมตอบรับคำเชิญของยะซีดและเข้าร่วมการชุมนุมดังกล่าว เมื่อเขาเห็นศีรษะของท่านอิมามฮุเซน (อ.) และพฤติกรรมที่อาฆาตพยาบาทของยะซีดต่อศีรษะนั้น เขาจึงถามยะซีดว่า : "โอ้ กษัตริย์แห่งอาหรับ นี่คือศีรษะของใครกัน?" เขากล่าวว่า : "ท่านจะยุ่งอะไรกับศีรษะนี้?" ราชทูตกล่าวว่า : "เมื่อข้าพเจ้ากลับไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ของเรา พระองค์จะทรงถามข้าพเจ้าเกี่ยวกับทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็นและข้าพเจ้าปรารถนาจะเล่าเรื่องราวของศีรษะนี้ให้พระองค์ฟังเพื่อพระองค์จะได้มีส่วนร่วมในความสุขนี้กับท่าน" ยะซีดกล่าวว่า : "นี่คือหัวของฮุเซน บุตร อะลี บิน อบีฏอลิบ (อ.)" ราชทูตกล่าวว่า : "ใครคือมารดาของเขา" ยะซีดกล่าวว่า : "ฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ.)" ราชทูตโรมถามอีกครั้งว่า : "นางเป็นลูกสาวของใคร?" เขากล่าวว่า : "ลูกสาวของศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ)" ราชทูตแห่งกรุงโรมเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ขุ่นเคืองมาก และกล่าวว่า : "ขอพระเจ้าทรงสาปแช่งท่านและศาสนาที่ท่านนับถือเถิด ศาสนาอื่นๆ ทั้งหมดยังดีกว่าศาสนาของท่าน จงรู้เถิดว่าข้าพเจ้าเป็นเชื้อสายของ (ศาสดา) ดาวูด (อ.) และระหว่างข้าพเจ้ากับท่านก็ห่างกันหลายชั่วคน กระนั้นก็ตาม ชาวคริสต์ก็ยังเคารพให้เกียรติข้าพเจ้า และเนื่องจากข้าพเจ้าเป็นเชื้อสายของศาสดาดาวูด (อ.) พวกเขาเอาฝุ่นดินจากเท้าของข้าพเจ้าไปเป็นของมงคล (ตะบัรรุก) แต่ท่านได้ฆ่าบุตรชายของบุตรีของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) ทั้งๆ ที่ระหว่างเขากับศาสดาของท่านนั้นห่างกันแค่ชั้นเดียวด้วยมารดาของเขา นี่เป็นศาสนาอะไรกันหรือ?" จากนั้นราชทูตโรมได้พูดถึงความศักดิ์สิทธิ์ของคริสตจักร "ฮาเฟอร์" ซึ่งเนื่องจากตามความเห็นของผู้คน มีร่องรอยกีบเท้าม้าของท่านศาสดาอีซา (อ.) ปรากฏอยู่ (6)

    มีรายงานว่าหลังจากที่ยะซีดได้ยินคำพูดของราชทูตแห่งกรุงโรม เขาก็ออกคำสั่งให้สังหารเขา ราชทูตโรมได้คว้าศีรษะของท่านอิมามฮุเซน (อ.) มาแนบไว้กับอก และถูกสังหารขณะที่โอบกอดศีรษะนั้นไว้ (7)

8- สุนทรพจน์ของอิมามซัจญาดในตำหนักของยะซีด

    มีรายงานว่าในที่ชุมนุมครั้งหนึ่งซึ่งยะซีดได้จัดขึ้นโดยมีบรรดาเชลยของอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) และศีรษะของบรรดาชะฮีดอยู่ในที่ชุมนุมนั้นด้วย ตามคำสั่งของเขา บรรดาคอฏีบ (นักเทศน์) ในราชสำนักได้เข้าร่วมในการชุมนุมนี้ด้วยเพื่อทำการดาประณามและให้ร้ายท่านอิมามฮุเซน (อ.) และบิดาผู้มีเกียรติของท่าน นักเทศน์ได้ขึ้นไปบนธรรมาสน์และหลังจากสรรเสริญสดุดีพระผู้เป็นเจ้าแล้ว เขาได้กล่าวประณามให้ร้ายท่านอิมามอะลี (อ.) และอิมามฮุเซน (อ.) และกล่าวสิ่งที่ไม่เป็นความจริงมากมายเท่าที่จะเป็นไปได้ในการสรรเสริญมุอาวิยะฮ์และยะซีด ในเวลานี้เอง ท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน (อ.) ได้ยืนขึ้นและพูดกับชายคนนั้นด้วยเสียงอันดังว่า : “ความวิบัติจงประสบกับเจ้า โอ้นักเทศน์! เจ้าได้แลกเอาความพึงพอใจของ (มนุษย์) ผู้ถูกสร้างด้วยกับความโกรธกริ้วของพระผู้สร้าง ดังนั้นจงเตรียมที่อยู่ของเจ้าในไฟนรกเถิด”  (8)

    จากนั้นท่านก็กล่าวว่า : "โอ้ ยะซีด จงอนุญาตให้ฉันขึ้นไปบนท่อนไม้เหล่านี้ (หมายถึง ธรรมมาสน์) และพูดถ้อยคำที่จะทำให้อัลลอฮ์ทรงพึงพอพระทัยและจะมีผลรางวัลและการตอบแทนแก่บรรดาผู้ที่นั่งอยู่ที่นี้เถิด"

    ยะซีดไม่ยอมอนุญาต แต่ประชาชนกล่าวว่า : “โอ้ ท่านผู้นำแห่งศรัทธาชน! โปรดอนุญาตให้เขาขึ้นไปบนธรรมาสน์เถิด บางทีเราอาจจะได้ยินอะไรบางอย่างจากเขา” ยะซีดก็ยังไม่ยอมรับ แต่ในที่สุด ด้วยการยืนกรานของประชาชน เขาจึงยอมให้ท่านอิมาม (อ.) ขึ้นไปพูด ดังนั้นท่านอิมาม (อ.) จึงขึ้นไปบนธรรมาสน์และหลังจากการสรรเสริญสดุดีพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ท่านกล่าวว่า :

أَيُّهَا النَّاسُ، أُعْطِينَا سِتّاً وَ فُضِّلْنَا بِسَبْعٍ، أُعْطِينَا الْعِلْمَ وَ الْحِلْمَ وَ السَّمَاحَةَ وَ الْفَصَاحَةَ وَ الشَّجَاعَةَ وَ الْمَحَبَّةَ فِي قُلُوبِ الْمُؤْمِنِينَ

 “โอ้ ประชาชนทั้งหลาย เราได้ถูกประทานให้หกสิ่งและถูกทำให้เหนือกว่าผู้อื่นด้วยเจ็ดสิ่ง เราได้ถูกประทานความรู้ ความสุขุมคัมภีรภาพ ความโอบอ้อมอารี วาทศิลป์ ความกล้าหาญ และความรักในหัวใจของบรรดาผู้ศรัทธา

    และ (เจ็ดสิ่งที่) เราได้ถูกทำให้เหนือกว่าผู้อื่นนั้นก็คือ การที่ มุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ศาสดาผู้ถูกเลือกสรรนั้นมาจากเรา ซิดดีก (ผู้สัจจริง คือ อะลี (อ.)) มาจากเรา (ญะอ์ฟัร) ฏ็อยยารมาจากเรา (ฮัมซะฮ์) ราชสีห์แห่งอัลลอฮ์และราชสีห์แห่งศาสนทูตของพระองค์มาจากเรา และ “ซิบฏ์” (หลานชาย) สองคน (ของท่านศาสดา) แห่งประชาชาตินี้ (คือ ฮะซันและฮุเซน) ก็มาจากเรา ดังนั้นใครที่รู้จักฉันเขาก็รู้จักฉันแล้ว และใครที่ไม่รู้จักฉัน ฉันก็จะได้บอกเขาเกี่ยวกับชาติตระกูลและเชื้อสายของฉัน”

    จากนั้นท่านกล่าวต่อว่า :

    โอ้ ประชาชนเอ๋ย! ฉันคือบุตรแห่งมักกะฮ์และมินา ฉันคือบุตรแห่งซัมซัมและซอฟา ฉันคือบุตรของผู้ที่ยกหินดำด้วยผ้าคุมกาย (ของตน และวางลงบนที่เดิมของมัน) ฉันคือบุตรของคนที่ดีที่สุดที่สวมใส่เสื้อและผ้าคุมกาย ฉันคือบุตรของคนที่ที่ดีที่สุดที่สวมรองเท้าแตะและรองเท้าหุ้มส้น ฉันคือบุตรของคนที่ดีที่สุดที่เดินฏอวาฟและสะอา ฉันคือบุตรของคนที่ดีที่สุดที่ทำฮัจญ์และกล่าวคำตอบรับ (ลับบัยก์) ต่อพระผู้เป็นเจ้า ฉันคือบุตรของผู้ที่ถูกพาขึ้นสู่ฟากฟ้าด้วยบุร๊อก ฉันคือบุตรของผู้ที่ถูกพาเดินทางในยามค่ำคืนจากมัสยิดิลฮะรอมไปยังมัสยิดิลอักซอ ฉันคือบุตรของผู้ที่ญิบรออีลนำพาเขาไปถึงยังซิดร่อตุลมุนตะฮา ฉันคือบุตรของผู้ที่ได้เข้าไปใกล้ (พระผู้เป็นเจ้า) และเข้าไปใกล้จนชิดในระยะของปลายคันธนูทั้งสอง หรือใกล้กว่านั้น ฉันคือบุตรของผู้ที่นำนมาซมวลมลาอิกะฮ์แห่งฟากฟ้า ฉันคือบุตรของผู้ที่อัลลอฮ์ผู้ทรงเกรียงไกรทรงลงวะห์ยูมายังเขาในสิ่งที่พระองค์ทรงประทานลงมา ฉันคือบุตรของมุฮัมมัด มุศฏอฟา (ซ็อลฯ)

    ฉันคือบุตรของอะลี มุรตะฎอ (อ.) ฉันคือบุตรของผู้ที่ต่อสู้กับบรรดาผู้นับถือพระเจ้าหลายองค์ (มุชริกีน) จนกระทั่งพวกเขากล่าว "ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮ์" (ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์) ฉันคือบุตรของผู้ที่ต่อสู้ด้วยดาบสองเล่มเบื้องหน้าท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) และต่อสู้ด้วยหอกสองเล่ม ผู้ที่อพยพสองครั้ง ผู้ให้สัตยาบันสองครั้ง ผู้ต่อสู้ในบะดัรและหุนัยน์ และไม่เคยปฏิเสธศรัทธาในอัลลอฮ์แม้แต่พริบตาเดียว ฉันเคือบุตรของผู้ศรัทธาที่เป็นคนดีที่สุด เป็นทายาทของปวงศาสดา (อ.) ผู้ที่ปราบบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้า ผู้นำของปวงมุสลิม ผู้เป็นแสงสว่างของมุญาฮิดีน เครื่องประดับของปวงผู้เคารพภักดีพระเจ้า หัวหน้าของปวงผู้ร่ำให้ ผู้อดทนมากที่สุด และผู้ทำอิบาดะฮ์ในยามค่ำคืนที่ดีที่สุดของวงศ์วานแห่งยาซีน ศาสนทูตของพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก ฉันคือบุตรของผู้ที่ได้รับการสนับสนุนจากญิบรออีลและได้รับความช่วยเหลือจากมีกาอีล ฉันคือบุตรของผู้ปกป้องเกียรติของชาวมุสลิม ผู้ต่อสู้กับพวกมาริกีน นากิซีนและกอซิฏีน และต่อสู้กับพวกนาซิบีนศัตรูของเขา

    และเขา (อะลี) เป็นบุคคลที่เป็นความภาคภูมิใจที่สุดของกุเรช และเป็นผู้ศรัทธาคนแรกที่ตอบรับอัลลอฮ์และศาสนทูตของพระองค์ เป็นคนแรกของกลุ่มชั้นแนวหน้า (ฮัซซาบิกูน) ผู้บดขยี้ผู้รุกราน ถอนรากถอนโคนพวกที่นับถือพระเจ้าหลายองค์ (มุชริกีน) และเป็นผู้มีส่วนร่วมของอัลลอฮ์ในการต่อสู้กับคนหน้าซื่อใจคด เป็นลิ้นแห่งวิทยปัญญาของผู้เคารพภักดี  ผู้ช่วยศาสนาของอัลลอฮ์  ผู้พิทักษ์พระบัญชาของอัลลอฮ์ เป็นสวนแห่งวิทยปัญญาของอัลลอฮ์ เป็นที่บรรจุความรู้ของอัลลอฮ์ ผู้ใจบุญ ผู้โอบอ้อมอารี ผู้สง่างาม ผู้เป็นที่รวมของคุณลักษณะที่ดีงาม ผู้สะอาดบริสุทธิ์ ผู้มีจิตใจเปิดกว้าง ผู้พอใจต่อกำหนดการของอัลลอฮ์ กล้าหาญ เอื้ออาธร ผู้อดทนและถือศีลอดอย่างมากมาย ผู้ขัดเกลาตนและแน่วแน่ ถอนรากถอนโคนผู้กดขี่ ผู้ทำให้กองทัพอะห์ซาบแตกกระเจิง ผู้มีจิตใจดีที่สุด ให้อภัยและพูดจาไพเราะ มุ่งมั่นและเชื่อมั่นในตนเอง ราชสีห์ที่น่าเกรงขาม ..... บิดาของหลานสองคนของท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) คือ ฮะซันและฮุเซน (อ.) นี่คือ ปู่ของฉัน อะลี บิน อบีฏอลิบ (อ.)” (9)

    จากนั้นท่านกล่าวว่า :

أَنَا ابْنُ فَاطِمَةَ الزَّهْرَاءِ، أَنَا ابْنُ سَيِّدَةِ النِّسَاءِ

          “ฉันคือบุตรของฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ.) ฉันคือบุตรของหัวหน้าปวงสตรี"

    ท่านอิมามซัจญาด (อ.) ยังคงกล่าวแนะนำตัวเองต่อไปว่า  "ฉันคือ ... ฉันคือ ..." จนกระทั่งเสียงร้องไห้และเสียงคร่ำครวญของประชาชนดังขึ้น และยะซีดรู้สึกหวั่นกลัวว่าจะเกิดการลุกฮือของประชาชน จึงสั่งให้มุอัซซิน (ผู้อะซาน) ลุกขึ้นกล่าวอะซาน ดังนั้นคำพูดของอิมาม (อ.) จึงถูกขัดจังหวะและหยุดลง (10)

          เมื่อมุอัซซินกล่าวว่า : "اللَّهُ أَكْبَرُ اللَّهُ أَكْبَرُ" (อัลลอฮ์ผู้ทรงยิ่งใหญ่ที่สุด)

          ท่านอะลี บิน ฮุเซน (อ.) ก็กล่าวว่า : "ไม่มีสิ่งใดที่จะยิ่งใหญ่กว่าอัลลอฮ์"

          มุอัซซินกล่าวว่า : “أَشْهَدُ أَنْ لَا إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ" (ข้าฯ ขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์)

         ท่านอะลี บิน ฮุเซน (อ.) ก็กล่าวว่า : “ผมและขนของฉัน ผิวหนังของฉัน เนื้อของฉัน เลือดของฉัน สมองของฉัน และกระดูกของฉันเป็นสักขีพยานต่อสิ่งนี้"

           เมื่อเขากล่าวว่า : "أَشْهَدُ أَنَّ مُحَمَّداً رَسُولُ اللَّهِ" (ข้าฯ ของปฏิญาณว่า มุฮัมหมัดคือศาสนทูตของอัลลอฮ์)

    ท่านอะลี บิน ฮุเซน (อ.) หันไปหายะซีดจากบนธรรมาสน์และกล่าวว่า : "โอ้ ยะซีด มุฮัมมัดผู้นี้คือปู่ของเจ้าหรือตาของฉัน ? หากเจ้าบอกว่าเขาเป็นปู่ของเจ้า นั่นเจ้าโกหก และหากเจ้าบอกว่าเขาเป็นตาของฉัน แล้วทำไมเจ้าถึงฆ่าเชื้อสายของเขา?”

    ผู้รายงานกล่าวว่า : เมื่อมุอัซซซินเสร็จสิ้นจากการอะซานและอิกอมะฮ์ ยะซีดก็เดินไปข้างหน้า และนำนมาซซุฮ์รี่ (11)

9- ผู้รู้ชาวยิวในที่ชุมนุมของยะซีด

   มีรายงานว่าหลังจากการกล่าวสุนทรพจน์ของท่านอิมามซัจญาด (อ.) ในตำนักของยะซีด ผู้รู้ชาวยิวผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งซึ่งอยู่ในที่ชุมนุมได้ถามยะซีดว่า : "โอ้ อมีรุลมุอ์มินีน ชายหนุ่มคนนี้คือใคร?" ยะซีดกล่าวกับเขาว่า : "เจ้าของศีรษะนี้คือพ่อของเขา" เขากล่าวว่า :  “ใครเป็นเจ้าของศีรษะนี้?” เขากล่าวว่า : "ฮุเซน บุตรของอะลี บิน อบีฏอลิบ (อ.)" เขากล่าวว่า : "ใครคือมารดาของเขา?" เขากล่าวว่า : "ฟาฏิมะฮ์ (อ.)บุตรสาวของมุฮัมมัด (ซ็อลฯ)" ชายคนนั้นกล่าวว่า : "มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่อัลลอฮ์ นี่คือลูกชายของลูกสาวของศาสดาของท่านที่ท่านได้ฆ่าเขา พฤติกรรมของท่านกับลูกๆ ของเขาภายหลังจากเขานั้นช่างเลวร้ายยิ่ง ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ หากมูซา บุตรของอิมรอน ของเราทิ้งลูกชายของเขาไว้ในหมู่พวกเรา ข้าพเจ้าเชื่อว่าพวกเราจะเคารพสักการะเขาหลังจากพระเจ้า  ศาสดา (ซ็อลฯ) ของท่านจากพวกท่านไปเมื่อวานนี้ และวันนี้พวกท่านก็โจมตีลูกชายของเขาและฆ่าเขา พวกท่านช่างเป็นประชาชาติที่เลวร้ายยิ่งกระไร” (12)

    มีรายงานว่ายะซีดได้ออกคำสั่งให้ลงโทษเขา ในเวลานี้ ชายชาวยิวยืนขึ้นและตะโกนด้วยเสียงดังว่า : “ท่านอยากจะทำอะไรกับข้าพเจ้าก็จงทำเถิด อยากจะฆ่าข้าพเจ้าก็จงฆ่าเสียเถิด และหากต้องการให้ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ก็ทำเถิด ข้าพเจ้าได้อ่านในคัมภีร์โตราห์แล้วว่าใครก็ตามที่ฆ่าลูกหลานของศาสดาท่านใด เขาจะถูกสาปแช่งชั่วนิรันดร์ และเมื่อเขาตาย พระเจ้าจะทรงเผาเขาในไฟนรก” (13)


แหล่งอ้างอิง :

1. อัลกุรอานบทอัรรูม โองการที่ 10

2. อัลกุรอานบทอาลิอิมรอน โองการที่ 178

3. อัลกุรอานบทอาลิอิมรอน โองการที่ 169

4. บะลาฆอต, อัล นิซาอ์, อิบนุฏ็อยฟูร, หน้า 26-27; อัล อิห์ติญาจ, ฏอบัรซ๊, เล่ม 2, หน้า 34-38; อัล ลุฮูฟ, ซัยยิดอิบนุฏอวูซ, หน้า 105

5. มักตัล อัล อูซัยน์, ควาร็อซมี, หน้า 72; อัล ลุฮูฟ, ซัยยิดอิบนุฏอวูซ, หน้า 110; มุซีรุลอะห์ซาน, อิบนินะมา, หน้า 82

6. มักตัล อัล ฮุซัยน์ (อ.), ควาร็อซมี, หน้า 72-73; อัล ลุฮูฟ, ซัยยิดอิบนุฏอวูซ, หน้า 111; ตัซกิร่อตุลคอวาศ, อิบนุญูซี, หน้า 236; มุซีรุลอะห์ซาน, อิบนุนะมา, หน้า 82

7. มักตัล อัล ฮุซัยน์ (อ.), ควาร็อซมี, หน้า 73; อัล ลุฮูฟ, ซัยยิดอิบนุฏอวูซ, หน้า 112; มุซีรุลอะห์ซาน, อิบนุนะมา, หน้า 82

8. อัล ฟุตูห์, อิบนุอะอ์ซัม, เล่ม 5, หน้า 132; อัล ลุฮูฟ, ซัยยิดอิบนุฏอวูซ, หน้า 112; มักตัล อัล ฮุซัยน์ (อ.), ควาร็อซมี, หน้า69

9. อัล ฟุตูห์, อิบนุอะอ์ซัม, เล่ม 5, หน้า 132; อัล ลุฮูฟ, ซัยยิดอิบนุฏอวูซ, หน้า 109; มักตัล อัล ฮุซัยน์ (อ.), ควาร็อซมี, หน้า69

10. อัล ฟุตูห์, อิบนุอะอ์ซัม, เล่ม 5, หน้า 132-133; มักตัล อัล ฮุซัยน์ (อ.), ควาร็อซมี, หน้า69 ; อัล อิห์ติญาจ, ฏอบัรซ๊, เล่ม 2, หน้า 34-38; อัล มะนากิบ, อิบนุชะฮ์รอชูบ, เล่ม 3, หน้า 261

11. อัล ฟุตูห์, อิบนุอะอ์ซัม, เล่ม 5, หน้า 133; มักตัล อัล ฮุซัยน์ (อ.), ควาร็อซมี, หน้า 69-71

12. อัล ฟุตูห์, อิบนุอะอ์ซัม, เล่ม 5, หน้า 132; มักตัล อัล ฮุซัยน์ (อ.), ควาร็อซมี, หน้า 71

13. อัล ฟุตูห์, อิบนุอะอ์ซัม, เล่ม 5, หน้า 132; มักตัล อัล ฮุซัยน์ (อ.), ควาร็อซมี, หน้า 71


บทตวามโดย : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ

Copyright © 2024 SAHIBZAMAN.NET- สื่อเรียนรู้สำหรับอิสระชนคนรุ่นใหม่

ผู้เยี่ยมชมอยู่ขณะนี้

มี 625 ผู้มาเยือน และ ไม่มีสมาชิกออนไลน์ ออนไลน์

21505821
Today
Yesterday
This Week
Last Week
This Month
Last Month
All days
14050
45608
223323
20904429
990358
2496676
21505821

พฤ 19 ก.ย. 2024 :: 08:48:39