เชลยแห่งอะฮ์ลุลบัยต์ของอิมามฮุเซน (อ.) ในแผ่นดินชาม ตอนที่ 3
Powered by OrdaSoft!
No result.
เชลยแห่งอะฮ์ลุลบัยต์ของอิมามฮุเซน (อ.) ในแผ่นดินชาม ตอนที่ 3

หลังจากการกล่าวสุนทรพจน์ของท่านหญิงซัยนับ (อ.) และท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน (อ.) การเปิดโปงยะซีดโดยท่านทั้งสองแล้ว สัญญาณต่าง ๆ ของความปราชัยได้ปรากฏชัดขึ้นในแต่ละวัน ในตัวยะซีดและในแผนการต่างๆ ของเขา และพร้อมกับข้อเท็จจริงต่างๆ ที่ชัดเจนขึ้นนี้

  1. การกลับสู่มะดีนะฮ์ของเชลยแห่งอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.)

    หลังจากการกล่าวสุนทรพจน์ของท่านหญิงซัยนับ (อ.) และท่านอิมามซัยนุลอาบิดีน (อ.) และการเปิดโปงยะซีดโดยท่านทั้งสองแล้ว สัญญาณต่างๆ ของความปราชัยได้ปรากฏชัดขึ้นในแต่ละวัน ในตัวยะซีดและในแผนการต่างๆ ของเขา และพร้อมกับข้อเท็จจริงต่างๆ ที่ชัดเจนขึ้นนี้ การประท้วงต่อต้านการกระทำและพฤติกรรมอันน่าเกลียดของยะซีดในการสังหารท่านอิมามฮุเซน (อ.) ได้ลุกลามไปทั่วดามัสกัส และการประท้วงเหล่านี้ยังได้ขยายวงเข้าไปแม้แต่ในวังและในครอบครัวของยะซีดเอง โดยที่มีรายงานว่า วันหนึ่ง ยะซีดสั่งให้แขวนศีรษะของท่านอิมามฮุเซน (อ.) ไว้ที่ประตูวังของเขา (1) ฮินด์ ลูกสาวของอับดุลลอฮ์ บิน อามีร บิน กุรอยซ์ - ภรรยาของยะซีด - ได้ออกมาในสภาพที่ไม่ได้ปกปิดศีรษะของนาง นางได้เปิดม่านออกมา แล้วตะตอกใส่ยะซีดพร้อมกับกล่าวว่า : "ศีรษะของบุตรชายของฟาฏิมะฮ์ (อ.) ถูกแขวนอยู่ที่ประตูบ้านของฉันกระนั้นหรือ?" ยะซีดคลุมผ้าให้นางแล้วกล่าว่า : "ใช่! จงร้องไห้ให้กับเขาเถิดและจงคร่ำครวญให้กับลูกชายของลูกสาวของศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) เถิด อิบนุ ซิยาดได้รีบด่วนในการสังหารเขา ขอให้อัลลอฮ์ทรงฆ่าเขาเถิด" (2)

10.1 - การไว้อาลัยให้กับอิมามฮุเซน (อ.) ในวังของยะซีด

    ยะซีดได้สั่งให้พาบรรดาเชลยของอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ไปที่วังของเขา หลังจากที่อะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) เข้ามาในวัง พวกนางได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากบรรดาผู้หญิงในครอบครัวบนีอุมัยยะฮ์ และเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังขึ้นจากทุกทิศทุกทาง (3) และการไว้อาลัยให้กับท่านอิมามฮุเซน (อ.) นี้ได้ถูกจัดขึ้นถึงสามวันในวังของยะซีด (4)  และเหตุการณ์ดำเนินไปถึงขั้นที่ว่า ยะซีดเองก็จำต้องเสแสร้งและแสดงการร้องไห้ให้กับการถูกสังหารของท่านอิมามฮุเซน (อ.) ต่อหน้าประชาชน และประชาชนก็พากันร้องไห้ตามเขาด้วย (5)

10.2 - การเปลี่ยนพฤติกรรมที่แสดงออกต่อบรรดาเชลยเนื่องจากความกลัว

    ความหวั่นกลัวต่อการจลาจลและการก่อกบฏทำให้ยะซีดจำเป็นต้องเปลี่ยนพฤติกรรมของเขากับบรรดาเชลย และตามคำสั่งของยะซีด บรรดาเชลยถูกนำตัวไปห้องน้ำและจัดทำร่มเงากำบังแดดให้แก่พวกเขา จากนั้นยะซีดก็ให้การดูแลเรื่องอาหารและเสื้อผ้าของบรรดาเชลย และจัดเตรียมของกำนัลต่างๆ ให้พวกเขา (6)  กระทั่งมีรายงานด้วยซ้ำว่า ตราบช่วงเวลาที่เชลยศึกยังอยู่ในเมืองชาม ยะซีดจะไม่นั่งที่สำรับอาหารโดยไม่ท่านอิมามซัจญาด (อ.) ร่วมอยู่ด้วย (7) บางครั้งยะซีดจะเชิญบรรดาเชลยของอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ไปที่วังของเขาและปรนนิบัติต่อพวกเขาอย่างนุ่มนวล มีรายงานว่าในการชุมนุมครั้งหนึ่ง ท่านอิมามซัจญาด (อ.) อยู่ในวังของยะซีดพร้อมกับเด็กๆ ของอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ยะซีดชี้ไปที่คอลิด ลูกชายของเขา พร้อมกันนั้นกล่าวกับเด็กคนหนึ่งของอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ชื่อ อัมร์ บิน ฮะซัน (อ.) (บางแหล่งอ้างอิงระบุว่า เขาชื่ออุมัร บิน ฮุเซน) (8) เขากล่าวว่า : "เจ้าจะเล่นมวยปล้ำกับเด็กหนุ่มคนนี้ไหม?" (9) อัมร์ บิน ฮะซัน (อ.) กล่าวว่า : "ไม่เอา แต่ขอดาบ (มีด) เล่มหนึ่งให้ฉัน และมอบดาบ (มีด) เล่มหนึ่งให้เขา เพื่อเราจะได้ต่อสู้กัน"

    ยะซีดไม่ยอมรับคำขอจากเด็กน้อยผู้นั้นและกล่าวว่า :

                              شِنشِنَةٌ أعرِفُها مِن أخزَمِ  ، هَل تَلِدُ الحَيَّةُ إلّا حَيَّةً ؟

          "เป็นธรรมชาติที่ฉันรับรู้มันจากอัคซัมว่า งูนั้นจะให้กำเนิดลูกเป็นอื่นจากงูกระนั้นหรือ?" (เป็นสุภาษิตอาหรับ และหมายความว่า คนทุกคนจะรับเอาอุปนิสัยมาจากบิดาของตน) (10)

    ยะซีด ซึ่งกำลังมองหาหนทางหลบหนีจากเหตุการณ์ที่จะทำให้รากฐานของรัฐบาลของเขาสั่นคลอน ได้ถามความเห็นจากชาวเมืองชามเกี่ยวกับเชลยศึก และกล่าวว่า : "พวกท่านมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับพวกเขาเหล่านี้" ชาวเมืองชามคนหนึ่งกล่าวว่า : "จงฆ่าพวกเขาซะ" ยะซีดนิ่งเงียบและไม่พูดอะไร นุอ์มาน บิน บะชีร กล่าวว่า : "ลองคิดดูว่าหากท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) เห็นพวกเขาในสภาพเช่นนี้ ท่านจะทำเช่นไร ท่านเองก็ควรจะทำเช่นเดียวกันนั้น” (11) ในที่สุดยะซีดก็ตัดสินใจส่งเชลยกลับไปยังมะดีนะฮ์ ดังนั้นเขาจึงเรียกนุอ์มาน บิน บะชีรมาพบ และขอให้เขาเตรียมพร้อมเพื่อออกเดินทางและพาบรรดาสตรีของอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) กลับไปยังมะดีนะฮ์

10.3 - คำเอื้อนเอ่ยของยะซีดต่ออิมามซัจญาด (อ.)

    ก่อนออกเดินทาง ยะซีดได้เรียกท่านอิมามซัจญาด (อ.) ไปพบและพูดกับท่านเป็นการส่วนตัวว่า :

“ขออัลลอฮ์ทรงสาปแช่งอิบนุมัรญานะฮ์ (อิบนุซิยาด) ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า หากฉันได้พบกับพ่อของเจ้าก่อน ฉันจะให้ทุกสิ่งที่เขาต้องการจากฉัน และฉันจะป้องกันไม่ให้เกิดการสังหารเขาในทุกรูปแบบ แต่อัลลอฮ์ได้ทรงกำหนดไว้ในสิ่งที่เจ้าได้เห็น ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่เจ้าไปถึงมะดีนะฮ์ ก็จงเขียนจดหมายถึงฉันจากที่นั่น และบอกให้เรารู้ทุกอย่างที่เจ้าต้องการ แล้วฉันจะตอบสนองความต้องการเหล่านั้นอย่างแน่นอน” จากนั้นเขาก็มอบเสื้อผ้าของท่านและครอบครัวท่าน (ซึ่งพวกเขาได้ปล้นสะดมมาจากกัรบาลาหรือเสื้อผ้าที่เขาเตรียมไว้ให้พวกท่าน) และส่งพวกท่านออกเดินทางไปยังมะดีนะฮ์ (12)

    ยะซีดได้ส่งคนจำนวนหนึ่งไปพร้อมกับนุอ์มาน บิน บะชีร และสั่งให้พวกเขาเดินทางในเวลากลางคืน และเน้นย้ำกับพวกเขาว่า "ให้กองคาราวานของอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) เดินนำหน้าเสมอ และพวกเขาเดินตามไปข้างหลังในลักษณะที่สายตาของพวกเขาจะต้องไม่จับจ้องไปที่บรรดาสตรีของอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.)" นอกจากนี้ ยะซีดยังสั่งนุอ์มาน บิน บะชีรและบรรดาสหายของเขาอีกด้วยว่า “เมื่อใดก็ตามที่กองคาราวานของอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) หยุดพัก พวกเขาจงอยู่ห่างจากพวกท่านเหล่านั้น และให้นุอ์มานและสหายของเขาจงแยกย้ายกันไปอยู่รอบๆ พวกท่านเหมือนยาม และพวกเขาจงอยู่ในที่มั่นของตนในลักษณะที่หากคนใดคนหนึ่งจากเชลยของอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ประสงค์จะอาบน้ำนมาซหรือทำการขับถ่าย จะได้ไม่ละอายต่อพวกเขา” (13) บรรดาเจ้าหน้าที่ของยะซีดได้ออกเดินทางไปพร้อมกับนุอ์มาน บิน บะชีร และปฏิบัติตนตามที่ยะซีดสั่ง และคอยดูแลคาราวานเป็นอย่างดีจนกระทั่งไปถึงยังมะดีนะฮ์ (14)

10.4 - ข้อเรียกร้องสามประการของท่านอิมามซัจญาด (อ.)

    มีรายงานว่ายะซีดได้ให้สัญญากับท่านอิมาม (อ.) ในการประชุมครั้งหนึ่งว่า เขาจะทำตามความปรารถนาสามประการของท่านอิมาม (อ.) (15) ดังนั้น เมื่อยะซีดตัดสินใจส่งอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) กลับไปมะดีนะฮ์ ตามคำสัญญาที่ยะซีดได้ให้ไว้กับท่านอิมาม (อ.) ว่าเขาจะทำตามความต้องการทั้งสามของท่าน ท่านอิมาม (อ.) ได้ขอต่อยะซีดว่า ประการแรก ให้เขาจงมอบคืนศีรษะของท่านอิมามฮุเซน (อ.) ให้ท่าน ประการที่สอง จงคืนสิ่งของที่ยึดไปจากอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) และประการที่สาม หากเขามีเจตนาที่จะฆ่าท่าน (อ.) เขาจะต้องให้ใครคนหนึ่งเดินทางไปพร้อมกับผู้หญิงเหล่านี้เพื่อส่งพวกเธอกลับไปยังเมืองมะดีนะฮ์ ยะซีดกล่าวกับท่านอิมาม (อ.) ว่า : “แต่เจ้าจะไม่ได้เห็นใบหน้าพ่อของเจ้า และฉันก็จะงดเว้นจากการฆ่าเจ้า และจะไม่มีใครไปพาผู้หญิงเหล่านี้กลับสู่มะดีนะฮ์ได้ นอกจากเจ้า ส่วนทรัพย์สินที่ยึดมาจากพวกเจ้านั้น เราจะจ่ายเป็นเงินให้เจ้าหลายเท่าของราคา" ท่านอิมาม (อ.) กล่าวว่า : "เราไม่ต้องการเงินของเจ้า จงคืนสิ่งที่พวกเขาปล้นชิงไปกลับมาให้เรา" (16)

11- การพบกับอิมามซัจญาด (อ.) ของมินฮาล

    ในบางแหล่งอ้างอิง มีรายงานว่า วันหนึ่งท่านอิมามซัจญาด (อ.) กำลังเดินอยู่ในตลาดของเมืองดามัสกัส และซอฮาบะฮ์คนหนึ่งของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ชื่อมินฮาล บิน อัมร์ ได้เห็นท่านอิมาม (อ.) และได้เข้ามาทักทายท่านและกล่าวว่า : “โอ้ บุตรของท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์! ท่านใช้เวลาจากยามเช้าไปถึงยามกลางคืนอย่างไร? ท่านกล่าวว่า :

أمسَينا كَبَني إسرائيلَ في آلِ فِرعَونَ، يُذَبِّحونَ أبناءَهُم ويَستَحيونَ نِساءَهُم

"เราใช้ชีวิตเหมือนกับบนีอิสรออีลในหมู่วงศ์วานของฟิรเอาน์ (ฟาโรห์) ที่ตัดศีรษะลูกผู้ชายของพวกเขาและปล่อยให้บรรดาสตรีของพวกเขามีชีวิตอยู่”

    จากนั้นท่านกล่าวต่อว่า : “โอ้ มินฮาลเอ๋ย! ชาวอาหรับมีความภูมิใจเหนือชาวอะญัม (ผู้ที่ไม่ใช่อาหรับ) ที่มุฮัมมัด (ซ็อลฯ) เป็นชาวอาหรับ และชาวกุเรชก็อวดอ้างต่อชาวอาหรับอื่นๆ ว่า ศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) มาจากพวกเขา แต่พวกเราซึ่งเป็นครอบครัวของท่านใช้ชีวิตในยามกลางวันไปถึงกลางคืนในสถาพที่ที่สิทธิต่างๆ ของเราถูกแย่งชิง และพวกเขาก็ฆ่าเรา ขับไล่พวกเราออกจากบ้านเรือน และทำให้เราพลัดถิ่น ดังนั้น โอ้ มินฮาลเอ๋ย! เมื่อเรานึกถึงโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นนี้เราจะกล่าวคำ "อิสติรญาอ์" ว่า :   «إِنَّا لِلَّٰهِ وَإِنَّا إِلَيْهِ رَاجِعُونَ» "แท้จริงเราเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ และแท้จริงเราจะกลับคืนไปสู่พระองค์" (17)

12- สถานที่และระยะเวลาที่บรรดาเชลยพำนักอยู่ในเมืองชาม

    มีรายงานว่าหลังจากที่คาราวานของเชลยมาถึงเมืองชาม ยะซีดก็สั่งให้ควบคุมตัวพวกเขาไว้ในบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ติดกับวังของเขา (18) บ้านหลังนี้เป็นซากปรักหักพังที่ใกล้จะพังทลายลง และอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ได้กล่าวว่า : "เขาให้เราอยู่ในบ้านหลังนี้ เพื่อให้มันพังทลายลงบนหัวของเราและเราจะได้ถูกฆ่า" (19) บรรดาเชลยอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ ซึ่งไม่อาจปกป้องพวกเขาได้ทั้งจากความร้อนและความหนาวเย็น (20) ตามบางแหล่งอ้างอิงพวกเขา บรรดาเชลยอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้เป็นเวลาหลายวัน (21) และบางแหล่งอ้างอิงบอกว่าเป็นเวลาหนึ่งเดือนครึ่ง (22) และบางแหล่งอ้างอิงก็บอกว่าใช้เวลาอยู่ในบ้านหลังนั้นนานกว่าสี่สิบวัน (23)

    ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ สำหรับอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) เป็นเรื่องยากมากที่จะได้อยู่หลังม่านและใต้ร่มเงา จึงมีรายงานว่า "ผิวหนังบนใบหน้าของพวกท่านลอก และผิวหนังตามร่างกายของพวกท่านติดเชื้อ เนื่องจากแสงแดดที่รุนแรงและร้อนจัด" จากนั้นพวกท่านก็ถูกปล่อยตัวให้เป็นอิสระ (24) ระหว่างที่พวกท่านอยู่ในดามัสกัส พวกท่านทุกข์ระทมและคร่ำครวญถึงท่านอิมามฮุเซน (อ.) และร้องไห้ต่อท่านด้วยเสียงที่ดัง (25)


แหล่งอ้างอิง :

1. มักตัล อัลฮุซัยน์ (อ.), ควาร็อซมี, หน้า 73-74

2. มักตัล อัลฮุซัยน์ (อ.), ควาร็อซมี, หน้า 74; ตารีค ฏอบารี, เล่ม 4, หน้า 356; อัลกามิล ฟิตตารีค, อิบนุอะซีร, เล่ม 4, หน้า 84

3. อัฏฏอบะกอต อัลกุบรอ, อิบนุซะอัด, เล่ม 5, หน้า 163; ตารีค ฏอบารี, เล่ม 4, หน้า 353; มักตัล อัลฮุซัยน์ (อ.), ควาร็อซมี, หน้า 74; อัลกามิล ฟิตตารีค, อิบนุอะซีร, เล่ม 4, หน้า 86

4. อัฏฏอบะกอต อัลกุบรอ, อิบนุซะอัด, เล่ม 5, หน้า 163;  ตารีค ฏอบารี, เล่ม 4, หน้า 353; มักตัล อัลฮุซัยน์ (อ.), ควาร็อซมี, หน้า 74; มักตัล อัลฮุซัยน์ (อ.), ควาร็อซมี, หน้า 74; ตัซกิร่อตุลค่อวาศ, ซิบฏ์ อิบนุญูซี, หน้า 236

5. มักตัล อัลฮุซัยน์ (อ.), ควาร็อซมี, หน้า 74

6. อัลอิมามมะฮ์ วัซซิยาซะฮ์, อิบนุกุตัยบะฮ์ ดัยนะวะรี, เล่ม 2, หน้า 13; มักตัล อัลฮุซัยน์ (อ.), ควาร็อซมี, หน้า 74; มุซีรุลอะห์ซาน, อิบนุ นะมา, หน้า 75

7. อัลอัคบาร อัฏเฏาวาล, อบูฮะนีฟะฮ์ ดัยนะวะรี, หน้า 261; ตารีค ฏอบารี, เล่ม 4, หน้า 353;  มักตัล อัลฮุซัยน์ (อ.), ควาร็อซมี, หน้า 74

8. อัลอัคบาร อัฏเฏาวาล, อบูฮะนีฟะฮ์ ดัยนะวะรี, หน้า 261; อัลลุฮูฟ, ซัยยิดอิบนุฏอวูซ, หน้า 113;  อัลฟุซูล อัลมุฮิมมะฮ์, อิบนุ ซ็อบบาฆ, เล่ม 2, หน้า 826; อัลบิดายะฮ์ วัลนิฮายะฮ์, อิบนุกะซีร, เล่ม 8, หน้า 212

9. ตารีค ฏอบารี, เล่ม 4, หน้า 353; อัลกามิล ฟิตตารีค, อิบนุอะซีร, เล่ม 4, หน้า 87; อัลบิดายะฮ์ วัลนิฮายะฮ์, อิบนุกะซีร, เล่ม 8, หน้า 212

10. อัฏฏอบะกอต อัลกุบรอ, อิบนุซะอัด, เล่ม 5, หน้า 163; อัลอัคบาร อัฏเฏาวาล, อบูฮะนีฟะฮ์ ดัยนะวะรี, หน้า 261; อัลลุฮูฟ, ซัยยิดอิบนุฏอวูซ, หน้า 113; อัลมะนากิบ, อิบนุชะฮ์รอชูบ, เล่ม 3, หน้า 309

11. อัลอิมามะฮ์ วัซซิยาซะฮ์, อิบนุกุตัยบะฮ์ ดัยนะวะรี, เล่ม 2, หน้า 13; มักตัล อัลฮุซัยน์ (อ.), ควาร็อซมี, หน้า 66; อัลลุฮูฟ, ซัยยิดอิบนุฏอวูซ, หน้า 113

12. ตารีค ฏอบารี, เล่ม 4, หน้า 353; อัลอิรชาด, เชคมุฟีด, เล่ม 2, หน้า 122; มักตัล อัลฮุซัยน์ (อ.), ควาร็อซมี, หน้า 74; อัลกามิล ฟิตตารีค, อิบนุอะซีร, เล่ม 4, หน้า 87-88

13. ตารีค ฏอบารี, เล่ม 4, หน้า 353-354; อัลอิรชาด, เชคมุฟีด, เล่ม 2, หน้า 122;  อัลกามิล ฟิตตารีค, อิบนุอะซีร, เล่ม 4, หน้า 87-88

14. ตารีค ฏอบารี, เล่ม 4, หน้า 353;  อัลกามิล ฟิตตารีค, อิบนุอะซีร, เล่ม 4, หน้า 88; อัลอิรชาด, เชคมุฟีด, เล่ม 2, หน้า 112

15. อัลลุฮูฟ, ซัยยิดอิบนุฏอวูซ, หน้า 113; มุซีรุลอะห์ซาน, อิบนุ นะมา, หน้า 85

16. อัลลุฮูฟ, ซัยยิดอิบนุฏอวูซ, หน้า 113; มุซีรุลอะห์ซาน, อิบนุ นะมา, หน้า 85

17. มักตัล อัลฮุซัยน์ (อ.), ควาร็อซมี, หน้า 74; อัลลุฮูฟ, ซัยยิดอิบนุฏอวูซ, หน้า 108;ตารีค ฏอบารี, เล่ม 4, หน้า 353; อัลอิรชาด, เชคมุฟีด, เล่ม 2, หน้า 112

18. อัลอิรชาด, เชคมุฟีด, เล่ม 2, หน้า 112; อิอ์ลามุลวะรอ, ฏอบัรซี, หน้า 475

19. ดะลาอิล อัลอิมามะฮ์, ฏอบารี, หน้า 88; บะซออิรุดดะร่อญาต, ซ็อฟฟาร, หน้า 358; อัลมะนากิบ, อิบนุชะฮ์รอชูบ, เล่ม 3, หน้า 286; อัลคอรออิจ วัลญะรออิห์, เล่ม 2, หน้า 853

20.  อัลอะมาลี, เชคซอดูก, หน้า 231;  อัลลุฮูฟ, ซัยยิดอิบนุฏอวูซ, หน้า 109; มุซีรุลอะห์ซาน, อิบนุ นะมา, หน้า 81

21. อัลฟุตูห์, อิบนุอะอ์ซัม, เล่ม 5, หน้า 133; อัลอิรชาด, เชคมุฟีด, เล่ม 2, หน้า 122; อิอ์ลามุลวะรอ, ฏอบัรซี, หน้า 475

22. ชัรห์ อัลอัคบาร, มัฆริบี, เล่ม 3, หน้า 158

23. อิกบาลุลอะอ์มาล, ซัยยิดอิบนุฏอวูซ, เล่ม 2, หน้า 589

24. อัลอะมาลี, เชคซอดูก, หน้า 231; ชัรห์ อัลอัคบาร, มัฆริบี, เล่ม 3, หน้า 158; อิกบาลุลอะอ์มาล, ซัยยิดอิบนุฏอวูซ, เล่ม 2, หน้า 589; มุซีรุลอะห์ซาน, อิบนุ นะมา, หน้า 81

25. อัลฟุตูห์, อิบนุอะอ์ซัม, เล่ม 5, หน้า 133; อิกบาลุลอะอ์มาล, ซัยยิดอิบนุฏอวูซ, เล่ม 2, หน้า 589


บทตวามโดย : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ

Copyright © 2024 SAHIBZAMAN.NET- สื่อเรียนรู้สำหรับอิสระชนคนรุ่นใหม่

ผู้เยี่ยมชมอยู่ขณะนี้

มี 480 ผู้มาเยือน และ ไม่มีสมาชิกออนไลน์ ออนไลน์

21506290
Today
Yesterday
This Week
Last Week
This Month
Last Month
All days
14519
45608
223792
20904429
990827
2496676
21506290

พฤ 19 ก.ย. 2024 :: 09:06:48