ฮะดีษ (วจนะ) จำนวนหนึ่งจากท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ซึ่งพูดถึงข่าวคราวต่างๆ ที่ท่านได้แจ้งให้รู้เกี่ยวกับ “ฟิตนะฮ์” (วิกฤตการณ์ที่เลวร้าย) , การทดสอบ (บะลาอ์) และความเบี่ยงเบนซึ่งจะมาประสบกับประชาชาติ (อุมมะฮ์) ของท่านในยุคสุดท้าย (อาคิรุซซะมาน) ได้ถูกคัดเลือกจากหนังสือ “ญามิอุลอัคบาร” หรือ “มะอาริญุลยะกีน ฟี อุซูลิดดีน” ของเชคมุฮัมมัด บินมุฮัมมัด ซับซะวารี มานำเสนอไว้ในที่นี้ :
1.ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) ซึ่งท่านได้กล่าวว่า :
يَأْتِي عَلَى النَّاسِ زَمَانٌ وُجُوهُهُمْ وُجُوهُ الْآدَمِيِّينَ وَ قُلُوبُهُمْ قُلُوبُ الشَّيَاطِينِ كَأَمْثَالِ الذُّبَابِ الضِّرَارِ- سَفَّاكُونَ لِلدِّمَاءِ لا يَتَناهَوْنَ عَنْ مُنكَرٍ فَعَلُوهُ إِنْ تَابَعْتَهُمُ ارْتَابُوكَ وَ إِنْ حَدَّثْتَهُمْ كَذَّبُوكَ وَ إِنْ تَوَارَيْتَ عَنْهُمُ اغْتَابُوكَ السُّنَّةُ فِيهِمْ بِدْعَةٌ وَ الْبِدْعَةُ فِيهِمْ سُنَّةٌ- وَ الْحَلِيمُ بَيْنَهُمْ غَادِرٌ وَ الْغَادِرُ بَيْنَهُمْ حَلِيمٌ وَ الْمُؤْمِنُ فِيمَا بَيْنَهُمْ مُسْتَضْعَفٌ وَ الْفَاسِقُ فِيمَا بَيْنَهُمْ مُشَرَّفٌ صِبْيَانُهُمْ عَارِمٌ وَ نِسَاؤُهُمْ شَاطِرٌ وَ شَيْخُهُمْ لَا يَأْمُرُ بِالْمَعْرُوفِ وَ لَا يَنْهَى عَنِ الْمُنْكَرِ الِالْتِجَاءُ إِلَيْهِمْ خِزْيٌ وَ الِاعْتِدَادُ بِهِمْ ذُلٌّ وَ طَلَبُ مَا فِي أَيْدِيهِمْ فَقْرٌ فَعِنْدَ ذَلِكَ يَحْرِمُهُمُ اللَّهُ قَطْرَ السَّمَاءِ فِي أَوَانِهِ وَ يُنْزِلُهُ فِي غَيْرِ أَوَانِهِ- يُسَلِّطُ عَلَيْهِمْ شِرَارَهُمْ فَيَسُومُونَهُمْ سُوءَ الْعَذَابِ يُذَبِّحُونَ أَبْنَاءَهُمْ وَ يَسْتَحْيُونَ نِسَاءَهُمْ فَيَدْعُو خِيَارُهُمْ فَلَا يُسْتَجَابُ لَهُم .
“ยุคสมัยหนึ่งจะมาถึงมนุษย์ ที่ใบหน้าของพวกเขาเป็นใบหน้าของมนุษย์, หัวใจของพวกเขาเป็นหัวใจของซาตาน (ชัยฏอน) พวกเขาจะหลั่งเลือดประดุจดั่งหมาป่าที่หิวโซ พวกเขาจะไม่หยุดยั้งจากความชั่วที่พวกเขาได้กระทำมัน หากท่านปฏิบัติตามพวกเขา พวกเขาจะคลางแคลงสงสัยในตัวท่าน หากท่านพูดกับพวกเขา พวกเขาก็จะกล่าวหาท่านว่ามุสา หากท่านหายหน้าไปจากพวกเขา พวกเขาก็จะนินทาท่าน
และซุนนะฮ์ (แบบฉบับแห่งพระเจ้า) ณ พวกเขาจะเป็นบิดอะฮ์ (อุตริกรรม) และบิดอะฮ์ ณ พวกเขาจะเป็นซุนนะฮ์ และคนสุขุมคัมภีรภาพในหมู่พวกเขาจะถูกนับว่าเป็นคนเจ้าเล่ห์ และคนเจ้าเล่ห์ในหมู่พวกเขาจะถูกนับว่าเป็นผู้สุขุมคัมภีรภาพ ผู้ศรัทธา (มุอ์มิน) ที่อยู่ในหมู่พวกเขาจะถูกทำให้อ่อนแอ (ถูกกดขี่) และคนชั่วที่อยู่ในหมู่พวกเขาจะถูกให้เกียรติ เด็กๆ ของพวกเขาจะโอหังอวดดี และสตรีของพวกเขาจะเป็นคนชั่วร้าย และผู้อาวุโสของพวกเขาจะไม่กำชับความดีและไม่ห้ามปรามความชั่ว
การพึ่งพาอาศัยพวกเขาจะเป็นความอัปยศ การให้ความสำคัญต่อพวกเขาจะเป็นความต่ำต้อยไร้เกียรติ และการแสวงหาสิ่งที่อยู่ในมือของพวกเขาจะเป็นความยากไร้ ดังนั้น ณ ช่วงเวลาดังกล่าวอัลลอฮ์จะทรงห้ามน้ำฝนในช่วงเวลาที่เหมาะสมของมัน และจะทรงทำให้มันตกในช่วงที่ไม่ใช่เวลาของมัน และจะทรงทำให้บรรดาคนชั่วร้ายของพวกเขามีอำนาจครอบงำเหนือพวกเขา แล้วพวกพวกเหล่านั้นจะกดขี่พวกเขาด้วยการลงโทษทรมานที่เลวร้าย พวกเขาจะเชือดบรรดาลูกผู้ชายของพวกเขา และไว้ชีวิตบรรดาลูกผู้หญิงของพวกเขา แล้วบรรดาคนดีของพวกเขาจะวิงวอนขอดุอาอ์ แต่ดุอาอ์ของพวกเขาจะไม่ถูกตอบรับ”
2.ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) กล่าวว่า :
يأتي على النَّاس زمانٌ بطونُهُم آلهتُهُم، ونساؤُهُم قِبْلَتُهُم، ودنانيرُهُم دينُهُم، وشرفُهُم مَتاعُهُم، لا يبقى من الإيمان إلا اسْمُهُ، ومن الإسلام إلا رسْمُهُ، ومن القرآن إلا دَرْسُهُ، مساجدُهم مَعمورةٌ، وقلوبُهم خرابٌ عن الهُدَى، عُلماؤهُم أشرُّ خَلْقِ الله على وَجْهِ الأرض، فإن كان كذلك ابتلاهُمُ الله بأربع خِصالٍ: جَوْرٍ من السُّلطان، وقَحْطٍ من الزَّمان، وظُلمٍ من الوُلاة والحُكَّام. فتعجَّبَ الصحابةُ وقالوا: يا رسولَ الله، أيَعبدُونَ الأصنامَ؟! قال صلى الله عليه وآله وسلم: نعم، كُلُّ دِرْهَمٍ عندَهُم صنَمٌ.
“ยุคสมัยหนึ่งจะมาถึงมนุษย์ โดยที่ท้องของพวกเขาจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา สตรีของพวกเขาจะเป็นกิบลัตของพวกเขา ดีนาร (เงิน) ของพวกเขาจะเป็นศาสนาของพวกเขา และเกียรติของพวกเขาคือสิ่งอำนวยสุขของพวกเขา โดยที่จะไม่มีสิ่งใดจากความศรัทธา (อีหม่าน) หลงเหลืออยู่นอกจากเพียงชื่อของมัน และจะไม่มีสิ่งใดจากอิสลาม (หลงเหลืออยู่) นอกจากเครื่องหมายของมัน และจะไม่มีสิ่งใดจากอัลกุรอาน (หลงเหลืออยู่) นอกจากการสอน (อ่าน) ของมัน
มัสยิดของพวกเขาจะถูกก่อสร้าง (ทะนุบำรุง) และหัวใจของพวกเขาจะพังทลายจากทางนำ บรรดาผู้รู้ (อุละมาอ์) ของพวกเขาจะเป็นสิ่งถูกสร้างของอัลลอฮ์ที่ชั่วร้ายที่สุดในหน้าแผ่นดิน แล้วเมื่อถึงเวลานั้นอัลลอฮ์จะทรงทดสอบ (ลงโทษ) พวกเขาด้วยสี่ประการคือ : การกดขี่จากผู้มีอำนาจ, ความแห้งแล้งอดอยากจากยุคสมัยและความอธรรมจากผู้ปกครองและผู้มีอำนาจตัดสิน”
บรรดาสาวกรู้สึกประหลาดใจและกล่าวว่า : “โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์! พวกเขาจะเคารพภักดีรูปเจว็ดหรือ?”
ท่านศาสนทูต (ซ็อลฯ) ตอบว่า : “ใช่แล้ว ทุกดิรฮัม (เงิน) ของพวกเขาคือเจว็ด ณ พวกเขา” (บิฮารุ้ลอันวาร, เล่มที่ 22, หน้าที่ 453)
3.ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) กล่าวว่า :
سَيأتي زَمانٌ على أمَّتي يَفرُّونَ من العُلماء كما يَفرُّ الغَنَمُ عن الذّئبِ، فإذا كانَ كذلكَ ابْتَلاهُم اللهُ تعالى بثلاثةِ أشياءٍ: الأوّل: يَرفعُ البركةَ من أموالهِم، والثاني: سَلَّطَ اللهُ عليهم سُلْطَاناً جَائِراً، والثالث: يَخرجُونَ من الدُّنيا بلا إيمان
“ยุคสมัยหนึ่งจะมาถึงยังประชาชาติของฉัน ที่พวกเขาจะหนีจากบรรดาผู้รู้ศาสนาเสมือนดั่งแกะที่หนีจากหมาป่า ดังนั้นเมื่อถึงเวลานั้นอัลลอฮ์ ผู้ทรงสูงส่งจะทรงทดสอบพวกเขาด้วยสามสิ่ง : ประการแรก : พระองค์จะทรงยกความจำเริญออกไปจากทรัพย์สินของพวกเขา ประการที่สอง : อัลลอฮ์จะทรงทำให้ผู้มีอำนาจที่กดขี่ปกครองพวกเขา และประการที่สาม : พวกเขาจะออกจากโลกนี้ไปในสภาพที่ปราศจากศรัทธา (อีหม่าน)"
4.ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) กล่าวว่า :
يَأتي على النَّاس زمانٌ الصَّابرُ مِنهُم على ديِنِه كالقابضِ على الجَمْرة
“ยุคสมัยหนึ่งจะมาถึงยังประชาชาติของฉัน ผู้อดทนของพวกเขาอยู่บนศาสนาของเขา ประหนึ่งดั่งผู้ที่กำถ่านไฟไว้ในมือ”
5.ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) กล่าวว่า :
يَأتي زَمانٌ على أُمَّتي أمراؤهُم يكُونونَ على الجَوْرِ، وعُلماؤهُم على الطَّمَع، وعُبَّادُهُم على الرِّياء، وتُجَّارُهُم على أَكْلِ الرِّبا، ونساؤهُم على زينةِ الدُّنيا، وغِلمانهُم في التَّزويج، فعند ذلك كَسادُ أُمَّتي كَكَسادِ الأَسْواق، وليس فيها مُستقيمٌ، الأَمواتُ آيِسُونَ في قُبُورهِم مِن خَيْرِهِم، ولا يَعيشونَ(يعينون) الأَخْيَارَ فيهم، ففي ذلك الزَّمان الهَرَبُ خيرٌ من القيِام.
”ยุคสมัยหนึ่งจะมาถึงยังประชาชาติของฉัน ที่บรรดาผู้ปกครองของพวกเขาจะอยู่บนการกดขี่ บรรดาผู้รู้ศาสนาของพวกเขาจะอยู่บนความโลภหลง บรรดาผู้ทำอิบาดะฮ์ของพวกเขาจะอยู่บนการโอ้อวด บรรดาพ่อค้าของพวกเขาจะอยู่บนการกินดอกเบี้ย บรรดาสตรีของพวกเขาจะอยู่บนความสวยงามของโลกนี้ เด็กๆ ของพวกเขาจะอยู่ใน (ความคิดเรื่องของ) การแต่งงาน ดังนั้น ณ ช่วงเวลาดังกล่าวความซบเซาของประชาชาติของฉันก็จะเป็นเหมือนการซบเซาของตลาดและไม่มีชีวิตชีวาในมัน และบรรดาผู้ตายจะสิ้นหวังในหลุมฝังศพของพวกเขาจากความดีของพวกเขา และบรรดาคนดีจะไม่ดำเนินชีวิตอยู่ในหมู่พวกเขา ดังนั้นในช่วงเวลาดังกล่าวการหนีจะดีกว่าการพำนักอยู่”
6.ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) กล่าวว่า :
سيأتي زمانٌ على أُمَّتي لا يَعرفُونَ العُلماءَ إلا بثَوْبٍ حَسَنٍ، ولا يَعرفُونَ القُرآنَ إلَّا بِصَوْتٍ حَسَنٍ، ولا يَعبُدُون اللهَ إلَّا في شهر رمضان، فإذا كانَ كَذلكَ سَلَّطَ اللهُ عَليهِم سُلْطاناً لا عِلْمَ لَهُ ولا حِلْمَ لَهُ ولا رَحِمَ لَهُ.
“ยุคสมัยหนึ่งจะมาถึงยังประชาชาติของฉัน ที่บรรดาผู้รู้ศาสนาจะไม่ถูกรู้จักเว้นแต่ด้วยชุดแต่งกายที่สวยงาม และอัลกุรอานจะไม่ถูกรู้จักเว้นแต่ด้วยเสียงที่ไพเราะ และอัลลอฮ์จะไม่ถูกเคารพภักดีเว้นแต่เฉพาะในเดือนรอมฎอน เมื่อเวลานั้นมาถึงอัลลอฮ์จะทรงทำให้ผู้มีปกครองที่ไม่มีความรู้ ไม่มีความสุภาพอ่อนโยนและไม่มีความเมตตาปกครองเหนือพวกเขา”
ที่มา : หนังสือ “ญามิอุลอัคบาร” หรือ “มะอาริญุลยะกีน ฟี อุซูลิดดีน” ของเชคมุฮัมมัด บินมุฮัมมัด ซับซะวารี
แปลและเรีบยเรียง : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ