การแจ้งข่าวดีเกี่ยวกับการมาของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ที่มีปรากฏอยู่ในคำภีร์เตารอต และอินญีล เป็นหลักฐานบ่งชี้ถึงความสัตย์จริงของศาสนาอิสลาม
หนึ่งในหลักฐานที่พิสูจน์ถึงความสัตย์จริงของศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ของอิสลาม (ซ็อลฯ) คือการแจ้งข่าวดีต่าง ๆ ที่ถูกระบุไว้ในคัมภีร์เตารอตและอิลญีล จากคำพูดของท่านศาสดามูซา (โมเสส) และศาสดาอีซา (เยซู) (อ.) ในฐานะสองศาสดา "อุลุลอัซม์" (ผู้มีจิตใจมั่นคงแน่วแน่) และเป็นศาสดาที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ข่าวดีต่าง ๆ ซึ่งในช่วงเริ่มต้นของอิสลามได้ทำให้ชาวคริสต์และชาวยิวจำนวนมากที่ไม่มีอคติและดื้อรั้นเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามและกลายเป็นมุสลิม
พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสูงส่งทรงสร้างมนุษย์และประทานสติปัญญาและพลังในการเลือกแก่พวกเขา เพื่อให้พวกเขาสามารถเลือกเส้นทางชีวิตของพวกเขาและดำเนินไปบนเส้นทางแห่งความดีหรือบนเส้นทางแห่งความชั่วร้าย จากนั้น เพื่อที่จะสามารถเลือกเส้นทางที่ถูกต้อง พระองค์ได้ทรงส่งบรรดาศาสดามาเพื่อช่วยเหลือพวกเขาและแสดงเส้นทางที่ถูกต้องและคำสั่งต่าง ๆ จากพระผู้เป็นเจ้าแก่พวกเขา ดังนั้นจึงไม่มีหมู่ชนหรือเผ่าพันธุ์ใดนอกจากพระผู้เป็นเจ้าได้ส่งศาสดาท่านหนึ่งมาในหมู่พวกเขาเพื่อนำสาส์นของพระผู้เป็นเจ้าไปประกาศแก่ปวงบ่าวของพระองค์
เมื่อประมาณ 1,450 ปีที่แล้ว พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสูงส่งทรงมีบุญคุณต่อมนุษยชาติและทรงส่งศาสดาท่านสุดท้าย ผู้เป็นศาสดาสูงสุดและเป็นสิ่งถูกสร้างที่ประเสริฐที่สุด และผู้เป็นปฐมเหตุของการสร้างจักรวาล นั่นคือ ท่านศาสดามุฮัมมัด อัลมุศฏอฟา (ซ็อลฯ) มายังมนุษยชาติ เพื่อชาวโลกจะได้รับการชี้นำภายใต้รัศมีแห่งแสงสว่าง (นูร) ของท่าน และบรรลุสู่จุดหมายและความสมบูรณ์ขั้นสูงสุดของมนุษย์ ถึงแม้ว่าพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสูงส่งจะทรงประทานเนี๊ยะอ์มัต (ปัจจัยอำนวยประโยชน์) มากมายแก่มนุษยชาติและส่งศาสดาจำนวนมากมาเพื่อชี้นำมนุษยชาติ แต่พระองค์ก็ไม่เคยท้าวทวงบุญคุณใดๆ ต่อมนุษยชาติ แต่สำหรับการส่งศาสนทูตท่านสุดท้ายของพระองค์มายังมนุษยชาตินั้นพระองค์ทรงถือเป็นบุญคุณสำหรับพวกเขา โดยที่พระองค์ทรงตรัสว่า :
لَقَدْ مَنَّ اللّهُ عَلَى الْمُؤمِنِينَ إِذْ بَعَثَ فِيهِمْ رَسُولًا مِّنْ أَنفُسِهِمْ يَتْلُو عَلَيْهِمْ آيَاتِهِ وَ يُزَكِّيهِمْ وَ يُعَلِّمُهُمُ الْكِتَابَ وَ الْحِكْمَةَ وَ إِن كَانُواْ مِن قَبْلُ لَفِي ضَلالٍ مُّبِينٍ
"แน่นอนยิ่ง อัลลอฮ์นั้นทรงมีพระคุณต่อบรรดาผู้ศรัทธา เมื่อพระองค์ได้ทรงส่งศาสนทูตคนหนึ่งจากพวกเขาเองมาในหมู่พวกเขา โดยที่เขาจะอ่านโองการทั้งหลายของพระองค์ให้พวกเขาฟัง และจะทำให้พวกเขาสะอาด และจะสอนคัมภีร์และความรู้แก่พวกเขา และแม้นว่าก่อนหน้านั้นพวกเขาเคยอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้งก็ตาม" (อัลกุรอานบทอาลิอิมรอน โองการที่ 164)
นั่นหมายความว่าท่านศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ของอิสลาม มีสถานะสูงส่งกว่าเนียะอ์มัต (ปัจจัยอำนวยประโยชน์) และสิ่งดำรงอยู่ทั้งมวล
แน่นอน! ท่านเป็นผู้ยิ่งใหญ่ถึงขนาดที่พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสเกี่ยวกับสถานภาพของท่านว่า :
لَوْلَاكَ مَا خَلَقْتُ الْأَفْلَاكِ
"หากไม่มีเจ้า ข้าก็จะไม่สร้างจักรวาล (สรรพสิ่งทั้งมวล)" (1)
หมายความว่า เป้าหมายและจุดประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสูงส่งจากการสร้างสรรพสิ่งและมนุษย์ทั้งมวลนั้นคือการดำรงอยู่อันมีค่าของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ท่านเป็นแกนของการดำรงอยู่และยิ่งใหญ่กว่าโลกและสิ่งถูกสร้างทั้งปวง สถานะทางจิตวิญญาณของท่านนั้นสูงมาก กระทั่งว่าพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตรัสเกี่ยวกับสถานะทางจิตวิญญาณของท่านนี้ว่า :
فَكَانَ قَابَ قَوْسَيْنِ أَوْ أَدْنَىٰ
"เขาเข้ามาใกล้ ในระยะของปลายคันธนูทั้งสอง หรือใกล้กว่านั้น" (อัลกุรอานบทอันนัจมุ โองการที่ 9)
หมายความว่า ท่านเข้าใกล้ชิดต่อพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสูงส่งมากกว่าทุกคนและทุกสรรพสิ่งและมีความใกล้ชิดทางจิตวิญญาณมากกว่าทั้งหมด
หนึ่งในหลักฐานที่พิสูจน์ถึงความสัตย์จริงของศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ของอิสลาม (ซ็อลฯ) คือการแจ้งข่าวดีต่างๆ ที่ถูกระบุไว้ในคัมภีร์เตารอตและอินญีลจากคำพูดของท่านศาสดามูซา (โมเสส) และศาสดาอีซา (เยซู) (อ.) ในฐานะสองศาสดา "อุลุลอัซม์" (ผู้มีจิตใจมั่นคงแน่วแน่) และเป็นศาสดาที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ข่าวดีต่างๆ ซึ่งในช่วงเริ่มต้นของอิสลามได้ทำให้ชาวคริสต์และชาวยิวจำนวนมากที่ไม่มีอคติและดื้อรั้นเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามและกลายเป็นมุสลิม คัมภีร์อัลกุรอานได้กล่าวในเรื่องนี้ว่า :
الَّذِينَ آتَيْنَاهُمُ الْكِتَابَ يَعْرِفُونَهُ كَمَا يَعْرِفُونَ أَبْنَاءَهُمْ
"บรรดาผู้ที่เราได้ประทานคัมภีร์ให้แก่พวกเขานั้น พวกเขารู้จักเขา (ศาสดามุฮัมมัด) (จากคุณลักษณะทั้งหลายของท่านตามที่พวกเขาอ่านจากคัมภีร์เตารอตและอินญีล) เหมือนกับที่พวกเขารู้จักลูกๆ ของพวกเขาเอง" (อัลกุรอานบทอัลบะกอเราะฮ์ โองการที่ 146)
หมายความว่า พวกเขารู้จักท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) จากคุณลักษณะทั้งหลายของท่านตามที่พวกเขาได้อ่านจากคัมภีร์เตารอตและอินญีล เหมือนกับที่พวกเขารู้จักลูก ๆ ของพวกเขา กล่าวคือ พวกเขารู้จักท่านด้วยคุณลักษณะเฉพาะที่ไม่มีใครเหมือนของท่าน
สิ่งที่ยืนยันคำพูดนี้ คือ การได้พบท่านของบาทหลวง "บะฮีรอ" ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญของชาวคริสต์แห่งเมืองบุศรอ (ในดินแดนชามหรือซีเรียในปัจจุบัน) และการพบเห็นท่านศาสดา (ซ็อลฯ) เพียงครั้งเดียวเขาก็รู้จักท่านแล้วและได้บอกกับท่านอบูฏอลิบ ผู้เป็นลุงโดยกล่าวว่า เด็กน้อยผู้นี้คือศาสดาแห่งยุคสุดท้าย (อาคิรุซซะมาน) และจงระมัดระวังเขาให้มาก เรื่องนี้เกิดขึ้นในขณะที่ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) มีอายุเพียง 8 ขวบ หมายความว่าในวัย 8 ขวบ บะฮีรอก็รู้จักท่านแล้วและยอมรับการเป็นศาสดาของท่าน (2)
น่าเสียดายที่นักวิชาการชาวยิวและคริสเตียนบางคนได้ต่อต้านท่านศาสดาและปฏิเสธการเป็นศาสดาของท่าน เนื่องจากความอคติ ความดื้อรั้นและความทะเยอทะยานและหลงในตำแหน่ง อย่างไรก็ตามประเด็นนี้ได้รับการพิจารณามาโดยตลอดในประวัติศาสตร์ และในบางช่วงเวลาก็จะมีนักวิชาการคริสเตียนคนหนึ่งได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม เมื่อไม่กี่ปีมานี้ บาทหลวงที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของอเมริกาชื่อ เชค "ยูซุฟ เอสเตส" (Yusuf Estes ชื่มีอเดิมว่า Joseph Edward Estes) ได้ยอมรับความสัตย์จริงของศาสนาอิสลามและเปลี่ยนมาเป็นมุสลิม เขาอาศัยอยู่ในเมืองอเล็กซานเดรีย ในรัฐเวอร์จิเนีย ใกล้กรุงวอชิงตัน เขามีพื้นเพมาจากรัฐเท็กซัส หลังจากเป็นมุสลิม เขาทำงานทั้งกลางวันและกลางคืนเพื่อเผยแพร่ศาสนาอิสลาม และไม่ละเว้นความพยายามใดๆ ที่จะทำให้ศาสนานี้มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับของผู้คน" (3)
หลายปีก่อนหน้านั้นก็เช่นกัน บาทหลวงคริสเตรียนที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวอิหร่าน ได้ยอมรับและเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม และเริ่มทำการเผยแพร่ศาสนาอิสลาม ชื่อของเขาคือศาสตราจารย์ "อับดุลอะฮัด ดาวูด" (ชื่อเดิม David Benjamin Keldani) เขาเกิดในปี 1867 ในเมืองอุรูมีเยะฮ์ (Urmia หรือ Orumiyeh) ของอิหร่าน สำเร็จการศึกษาขั้นต้นในเมืองนี้ และต่อมาได้สำเร็จการศึกษานอกประเทศอิหร่าน ในระดับปริญญาตรีในสาขาเทววิทยา และเป็นเวลาสามปีที่เขาเป็นสมาชิกที่แข็งขันของคณะกรรมการการศึกษาของคณะมิชชันนารีของอาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี (Archbishop of Canterbury) ในท่ามกลางชาวคริสต์อัสซีเรีย (เนสโตเรียน) ในปี 1892 เขาถูกส่งโดยพระคาร์ดินัลวอห์นไปยังกรุงโรมซึ่งเขาได้รับการศึกษาทางด้านปรัชญาและเทววิทยาที่วิทยาลัย "Propaganda Fide " เป็นเวลา 3 ปีและในปี 1895 เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างเป็นทางการให้ดำรงตำแหน่งบาทหลวงของคริสตจักรโรมันคาทอลิก
ในปี 1903 เขาได้เดินทางไปอังกฤษอีกครั้งและได้เป็นสมาชิกของ "สมาคมชาวคริสต์นิกายที่เชื่อว่ามีพระเจ้าองค์เดียว" (British and Foreign Unitarian Association) และในปี 1904 เขาได้รับมอบหมายจากทางสมาคมให้ดำเนินกิจกรรมด้านการศึกษาและการให้ความกระจ่างในหมู่ประชาชนของเขา แต่ในระหว่างที่เขาเดินทางกลับจากอังกฤษเพื่อไปยังอิหร่าน เขาได้หยุดที่เมืองอิสตันบูลและหลังจากการพบปะและสนทนากับบรรดานักวิชาการอิสลามและด้วยกับการศึกษาและการวิจัยก่อนหน้านี้หลายครั้ง ทำให้เขาเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามอย่างเป็นทางการ และเลือกชื่อ "อับดุลอะฮัด ดาวูด" สำหรับตัวเอง เขาเขียนหนังสือ "มูฮัมหมัดในคัมภีร์ไบเบิล" (Muhammad In The Bible) และในหนังสือเล่มนี้เขาได้พิสูจน์ให้เก็นถึงความสัตย์จริงศาสนาอิสลามและความเป็นศาสดาแห่งพระเจ้าของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) (4)
พยานหลักฐานทั้งหมดเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสัจจริงของอิสลามและศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ซึ่งยังสมควรที่จะมีการศึกษาวิจัยในเรื่องนี้กันต่อไปให้มากยิ่งขึ้น
เชิงอรรถ :
1. อัล อันวาร วะมิฟตาหุซซุรูร วัล อัฟการ ฟี เมาลิดินนะบียิลมุคตาร, อะห์มัด บิน อับดุลลอฮ์ บิกรี, หน้า 5
2. เว็บไซต์ wikishia
3. เว็บไซต์ Al-Shia
4. สำนักข่าว Fars
บทความ : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ
Copyright © 2022 SAHIBZAMAN.NET- สื่อเรียนรู้สำหรับอิสระชนคนรุ่นใหม่