เกิดอะไรขึ้น ในซากปรักหักพังของเมืองชาม (ดามัสกัส)
Powered by OrdaSoft!
No result.

เกิดอะไรขึ้น ในซากปรักหักพังของเมืองชาม (ดามัสกัส)

ความทุกข์ยากและความทุกข์โศกที่หนักหน่วงที่ประสบกับอะฮ์ลุลบัยติ์ (อ.) ในเมืองชาม (ดามัสกัส) ที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ต่างๆ นั้นก็คือ การที่พวกเขาได้ให้อะฮ์ลุลบัยติ์ (อ.) พักอาศัยอยู่ในซากปรักหักพัง และการเสียชีวิตของเด็กหญิงวัยสามขวบซึ่งเป็นบุตรีของท่านอิมามฮุเซน (อ.)

       ท่านอิมามซอดิก (อ.) ได้กล่าวว่า “พวกเขา (ทหารของยะซีด) ได้ให้อะฮ์ลุลบัยติ์ (อ.) อาศัยอยู่ในบ้านที่เป็นซากปรักหักพัง ซึ่งอยู่ใกล้กับมัสยิดกลางของเมืองชาม (ดามัสกัส) และอยู่ห่างจากตำหนักของยะซีดไม่มากนัก” เนื่องจากบ้านแห่งนั้นไม่อาจใช้เป็นที่อยู่อาศัยได้อีกแล้ว จึงถูกเรียกว่าซากปรักหักพัง

       เมื่ออะฮ์ลุลบัยติ์ (อ.) ผู้มีเกียรติและสถานภาพอันสูงส่ง ถูกนำตัวไปพักอาศัยอยู่ในสถานที่ปรักหักพังดังกล่าว พวกท่านจึงกล่าวต่อกันและกันว่า

إنَّما جُعِلنا فی هذا البیت لِیَقَعَ عَلَینا فَیَقتلنا

“แท้จริงแล้วพวกเราถูกนำตัวมาให้อยู่ในบ้านหลังนี้ เพื่อที่จะให้บ้านหลังนี้พังลงมาทับพวกเราตาย”

       เชคซอดูก ในหนังสือ “อัลอะมาลี” และซัยยิดอิบนุฏอวูซ ในหนังสือ “อัลลุฮูฟ” ได้เขียนว่า บ้านปรักหักพังที่พวกเขาให้อะฮ์ลุลบัยติ์ (อ.) พักอาศัยนั้น ไม่อาจปกป้องท่านเหล่านั้นจากความหนาวเหน็บในยามค่ำคืนและความร้อนในยามกลางวันได้เลย กระทั่งว่าเมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่ง ใบหน้าของเด็กผู้หญิง สตรีและเด็กๆ ต่างแตกกร้านและผิวลอก

       ท่านอิมามซัจญาด (อ.) ได้กล่าวว่า “บรรดาอะฮ์ลุลบัยติ์ (อ.) ได้ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านที่เป็นซากปรักหักพังนั้น ซึ่งในช่วงกลางวันต้องทนกับสภาพของความหิวโหย ในยามกลางคืนได้ง่วนอยู่กับอิบาดะฮ์ (การเคารพภักดีพระผู้เป็นเจ้า) และการร้องไห้ให้กับท่านอิมามฮุเซน (อ.) จนถึงยามเช้า”

       พวกท่านพยายามที่จะปิดบังเรื่องราวของการเป็นชะฮีดของท่านอิมามฮุเซน (อ.) บรรดาผู้ช่วยเหลือและอะฮ์ลุลบัยติ์ของท่าน โดยเฉพาะทารกและเด็กๆ เท่าที่สามารถจะกระทำได้ แต่ทว่าตามบันทึกของหนังสือประวัติศาสตร์ที่สำคัญ อย่างเช่น หนังสือ “อัลลุฮูฟ” ของซัยยิดอิบนิฏอวูซ หน้าที่ 141 หนังสือ “มะอาลี อัซซิมฏ็อยน์” เล่มที่ 2 หน้าที่ 161 หนังสือ “อัลมุนตะค็อบ” ของฏ่อรีฮี หนังสือ “ดะอ์วะตุ้ลฮะซะนียะฮ์” ของอายะตุลลอฮ์อากอ เชคมุฮัมมัดบากิร บะฮารี หนังสือ “ร็อยฮานะตุชชะรีอะฮ์” ของมะฮัลลาตี เล่มที่ 3 หน้าที่ 309 และหนังสือ “มุนตะค็อบ อัฏฏอวารีค” ของมุลลา ฮาชิม คุราซานี หน้าที่ 298 ได้บันทึกไว้ว่า :

       เด็กหญิงวัยสามขวบผู้หนึ่งซึ่งมีนามว่า “รุก็อยยะฮ์” เป็นบุตรีของท่านอิมามฮุเซน (อ.) เด็กหญิงผู้นี้มีความรักและความผูกพันต่อท่านอิมามฮุเซน (อ.) เป็นอย่างมาก และท่านอิมามฮุเซน (อ.) ก็รักลูกสาวผู้นี้ของท่านมากด้วยเช่นกัน ในบ้านที่เป็นซากปรักหักพังที่พวกเขาได้ให้อะฮ์ลุลบัยติ์ (อ.) อาศัยอยู่นั้น ท่านหญิงรุก็อยยะฮ์จะร้องไห้คร่ำครวญและเรียกหาผู้เป็นบิดาอยู่ตลอดเวลาทั้งยามค่ำคืนและยามกลางวัน ไม่ว่าพวกท่านจะบอกกับเธอว่า บิดาของเธอเดินทาง (จุดประสงค์จากคำพูดหมายถึงการเดินทางสู่ปรโลก) แต่ท่านหญิงรุก็อยยะฮ์ยะก็ไม่ยอมหยุดร้องไห้ จนกระทั่งคืนหนึ่งท่านหญิงรุก็อยยะฮ์ได้ฝันเห็นบิดาของท่าน เมื่อตื่นขึ้นมาก็ร้องไห้ฟูมฟายอย่างมาก ไม่ว่าบุคคลในที่นั้นจะพยายามอย่างไร ก็ไม่สามารถทำให้ท่านหญิงหยุดร้องไห้ได้ ทว่ากลับทำให้เธอยิ่งร้องไห้คร่ำครวญหนักยิ่งขึ้นกว่าเดิม

       จนกระทั่งทำให้บรรดาสตรีและเด็กผู้หญิงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตนเองได้ และทำให้พวกนางต้องร้องไห้คร่ำครวญไปด้วย บรรดาสตรีและเด็กผู้หญิงได้ร่ำไห้คร่ำครวญ ตบตีใบหน้าของตนเอง เอาฝุ่นดินที่อยู่ในบ้านที่เป็นซากปรักหักพังนั้นโปรยลงบนศีรษะของตนเองและดึงผมชองตัวเอง เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังกล่าวนี้ดังไปถึงตำหนักของยะซีด และทำให้เขาตื่นขึ้นจากการนอนหลับ เขาได้ถามว่า “เกิดอะไรขึ้น!” พวกเขาตอบว่า “เด็กหญิงวัยสามขวบได้ฝันและร้องไห้เรียกหาพ่อของตน” ยะซีดได้กล่าวว่า “จงเอาศีรษะพ่อของเธอไปให้เธอ เธอคงยังไม่รับรู้สิ่งใดหรอก แค่เห็นหน้าพ่อของตัวเองก็จะทำให้เธอเงียบได้แล้ว”

       บรรดาทหารของยะซีดได้นำศีรษะของท่านอิมามฮุเซน (อ.) ซึ่งวางอยู่ในถาดที่มีผ้าปิดคลุมไว้ไปให้ และวางลงต่อหน้าท่านหญิงรุก็อยยะฮ์

       ท่านหญิงรุก็อยยะฮ์ได้กล่าวว่า “ฉันไม่ต้องการอาหาร ฉันต้องการพ่อของฉัน”

       พวกเขากล่าวว่า “นี่ไงพ่อของเจ้ามานี่แล้ว”

       เมื่อท่านหญิงรุก็อยยะฮ์เปิดผ้าที่คลุมอยู่ออก ก็เห็นศีรษะที่ถูกตัดของบิดา ท่านหญิงได้ใช้มือเล็กๆ ทั้งสองข้างหยิบศีรษะของบิดาขึ้นมาแนบไว้กับอก และกล่าวซ้ำอยู่หลายครั้งว่า “โอ้พ่อจ๋า! ผู้ใดหรือที่ทำให้เคราของพ่อเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดจากศีรษะของพ่อ? ผู้ใดหรือที่ตัดศีรษะของพ่อ? ผู้ใดหรือที่ทำให้หนูต้องกลายเป็นลูกกำพร้าตั้งแต่วัยเด็กขนาดนี้? โอ้พ่อจ๋า! แล้วใครกันเล่าที่จะคอยดูแลและเอาใจใส่ต่อเด็กกำพร้าเหล่านี้? ใครกันเล่าที่จะคอยดูแลบรรดาสตรีที่กำลังเศร้าโศกเสียใจเหล่านี้? ใครกันเล่าที่จะคอยปลอบใจบรรดาสตรีที่สามีและลูกๆ ของตนได้เป็นชะฮีดและตัวเองต้องตกเป็นเชลยเหล่านี้? ใครกันเล่าที่จะคอยปลอบประโลมดวงตาที่กำลังร่ำไห้คร่ำครวญเหล่านี้? โอ้พ่อจ๋า! แล้วใครกันหรือที่จะคอยลูบศีรษะของเด็กๆ ที่กำลังเศร้าโศกเสียใจเหล่านี้? โอ้พ่อจ๋า! เมื่อท่านไม่อยู่แล้ว ผู้ใดกันเล่าที่จะเป็นที่พักพิงของพวกเราหลังจากท่าน? ความวิบัติจงมีแด่การมีชีวิตอยู่ของเรา ความวิบัติจงมีแด่ความเป็นผู้แปลกหน้าของเรา โอ้พ่อจ๋า! หนูน่าจะตายไปก่อนพ่อ โอ้พ่อจ๋า! หนูน่าจะตาบอดไปก่อนหน้านี้ จะได้ไม่ต้องเห็นภาพเหล่านี้”

       หลังจากนั้นท่านหญิงรุก็อยยะฮ์ก็ได้จุมพิตไปที่ริมฝีปากของผู้เป็นบิดา และร่ำไห้จนกระทั่งหมดสติ แต่เมื่อพวกเขาขยับร่างของเด็กน้อยผู้นั้น ก็พบว่าท่านหญิงรุก็อยยะฮ์ได้สิ้นใจและจากโลกนี้ไปเสียแล้ว

       ท่านหญิงรุก็อยยะฮ์ ได้อำลาจากโลกนี้ไปในวันที่ 5 เดือนซอฟัร ปี ฮศ. 61  สถานฝังศพอันบริสุทธิ์ของท่านซึ่งเรียกกันว่า ฮะรัมท่านหญิงรุก็อยยะฮ์ตั้งอยู่ใน เมืองดะมัสกัส ประเทศซีเรีย


ที่มา : สรุปเหตุการณ์การถูกสังหารของท่านซัยยิดุชชุฮะดาอ์ (อ.) โดยอุสตาซ ฮุเซน อันซอรียอน

แปล/เรียบเรียง : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ

ผู้เยี่ยมชมอยู่ขณะนี้

มี 1451 ผู้มาเยือน และ ไม่มีสมาชิกออนไลน์ ออนไลน์