107 ปี คำประกาศบัลโฟร์ สู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์
107 ปี คำประกาศบัลโฟร์ สู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์

สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของอิสราเอลในฉนวนกาซา ซึ่งดำเนินมาต่อเนื่องเป็นวันที่ 393 นี้ ได้คร่าชีวิตชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาไปแล้วอย่างน้อย 43,314 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กและผู้หญิง และทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 102,019 ราย โดยยังมีอีกหลายคนติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังโดยไม่มีใครทราบชะตากรรม ซึ่งมีจุดกำเนิดในเนื้อหาของจดหมายที่ร่างขึ้นเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2460 ได้ถูกเรียกว่า คำประกาศ บัลโฟร์

    สงครามไร้กฎเกณฑ์ที่เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมของปีที่แล้ว ซึ่งครบรอบหนึ่งปีเมื่อเดือนที่แล้ว

    อย่างไรก็ตาม สงครามกับชาวปาเลสไตน์ไม่ได้เริ่มต้นเมื่อ 13 เดือนที่แล้ว แต่มีรากฐานมาจากประวัติศาสตร์ในการแย่งชิงดินแดน การทำลายบ้านเรือน การปฏิเสธสิทธิ และการกวาดล้างชาติพันธุ์

    การยึดครองและการแบ่งแยกสีผิวเชื้อชาติ มีรากฐานมาจากคำประกาศบัลโฟร์ เมื่อ วันที่ 2 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2460

    ในปีพ.ศ. 2460 อาร์เธอร์ บาลโฟร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของอังกฤษในขณะนั้น ได้ส่งจดหมายถึงไลโอเนล วอลเตอร์ ร็อธส์ไชลด์ ผู้เป็นบุคคลสำคัญของชุมชนไซออนิสต์อังกฤษ เกี่ยวกับการสถาปนา “ดินแดนชาวยิว” ในปาเลสไตน์

    เนื้อหาของจดหมายที่ร่างขึ้นเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2460 ได้ถูกเรียกว่า คำประกาศ บัลโฟร์

    คำประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 (พ.ศ. 2457-2461) และกลายเป็นส่วนสำคัญของอาณัติของอังกฤษหลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิออตโตมัน

    จดหมายฉบับนี้ได้ปิดผนึกชะตากรรมของชาวปาเลสไตน์และเปิดบทบาทที่เต็มไปด้วยการยึดครองและการแบ่งแยกสีผิว ซึ่งดำเนินต่อไปจนถึงปัจจุบัน โดยที่ระบอบการปกครองของอิสราเอล ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรตะวันตก ยังคงสังหารหมู่ชาวปาเลสไตน์ทั้งในฉนวนกาซาและเขตเวสต์แบงก์ที่ถูกยึดครอง 

ประวัติความเป็นมาของคำประกาศบัลโฟร์

    อะวนี อับดุลฮาดี นักการเมืองชาวปาเลสไตน์ที่มีชื่อเสียง เขียนไว้ในบันทึกความทรงจำของเขาว่า คำประกาศดังกล่าวเป็นของชาวต่างชาติชาวอังกฤษ ซึ่งไม่ได้อ้างสิทธิ์ในปาเลสไตน์ และต่อชาวต่างชาติชาวยิวซึ่งไม่มีสิทธิ์ในนั้น

    หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ภายใต้ระบบที่เต็มไปด้วยข้อโต้แย้ง ประเทศต่าง ๆ ที่เผชิญกับความพ่ายแพ้ระหว่างสงครามจะต้องส่งมอบดินแดนที่ตนควบคุมให้กับรัฐที่ได้รับชัยชนะ 

    เชื่อกันว่า ระบบนี้มุ่งหวังที่จะให้รัฐผู้ชนะการปกครองสามารถบริหารประเทศที่เพิ่งเกิดขึ้นได้จนกว่าจะได้รับเอกราช

    อย่างไรก็ตาม ระบบอาณัติไม่ได้ถูกปฏิบัติตามในกรณีของปาเลสไตน์ แต่กลับมีการตัดสินใจที่แปลกประหลาดและเป็นที่ถกเถียงอย่างมากเกี่ยวกับดินแดนปาเลสไตน์

    คำประกาศบัลโฟร์เกิดขึ้นในฐานะคำมั่นสัญญาต่อสาธารณะในการจัดตั้ง "รัฐสำหรับชาวยิว" ในปาเลสไตน์

    รัฐบาลอังกฤษประกาศว่า มีเป้าหมายที่จะสร้าง “บ้านแห่งชาติชาวยิว” ในปาเลสไตน์ในช่วงเวลาที่ชาวยิวยังมีจำนวนไม่ถึงร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมดของรัฐปาเลสไตน์ด้วยซ้ำ

    ร่างประกาศที่ขัดแย้งฉบับก่อนหน้านี้ยังใช้ประโยคที่ว่า “การจัดตั้งปาเลสไตน์ขึ้นใหม่เป็นรัฐอิสราเอล” ซึ่งสื่อถึงแผนการกวาดล้างทางชาติพันธุ์ของชาวปาเลสไตน์โดยรัฐอังกฤษอย่างชัดเจน

    ในปีพ.ศ. 2463 รัฐสภาปาเลสไตน์ครั้งที่ 3 ในไฮฟา ปฏิเสธแผนการไซออนิสต์ของรัฐบาลอังกฤษ และกล่าวว่า คำประกาศดังกล่าวเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและสิทธิของชาวปาเลสไตน์โดยกำเนิด

    อังกฤษเพิกเฉยต่อคำประกาศของรัฐสภาปาเลสไตน์ และในปีพ.ศ. 2465 อาร์เธอร์ บัลโฟร์ และเดวิด ลอยด์ จอร์จ นายกรัฐมนตรีอังกฤษในขณะนั้น ได้จัดการประชุมกับไชม์ ไวซ์มันน์ ผู้นำกลุ่มไซออนิสต์ โดยประกาศว่า คำประกาศบัลโฟร์ "จะหมายถึงรัฐของชาวยิวในที่สุด"

    แผนดังกล่าวได้รับการดำเนินการและอังกฤษเริ่มอำนวยความสะดวกในการอพยพของชาวยิวไปยังปาเลสไตน์ ระหว่างปี ค.ศ. 1922 ถึง 1935 ประชากรชาวยิวเพิ่มขึ้น 27 เปอร์เซ็นต์จากเพียง 9 เปอร์เซ็นต์ก่อนปี ค.ศ. 1922 

ปีหลังการประกาศบัลโฟร์

     เมื่อดินแดนปาเลสไตน์ถูกยึดโดยผิดกฎหมายและใช้กำลังโดยอังกฤษและส่งมอบให้กับผู้ตั้งถิ่นฐานไซออนิสต์ ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นนำไปสู่การก่อกบฏของอาหรับตั้งแต่ปีพ.ศ. 2479 ถึง พ.ศ. 2482

    ในปีพ.ศ. 2482 มีการหยุดงานประท้วงทั่วไปในปาเลสไตน์เพื่อประท้วงลัทธิล่าอาณานิคมของอังกฤษและการอพยพเข้าเมืองของชาวยิวอย่างผิดกฎหมาย การหยุดงานดังกล่าวกินเวลานานหนึ่งเดือน ตามมาด้วยการปราบปรามชาวปาเลสไตน์ของอังกฤษ

    หลังจากนั้น โลกได้เห็นบ้านเรือนของชาวปาเลสไตน์ถูกทำลาย และยึดที่ดินของพวกเขาตามแผนที่อังกฤษวางไว้เพื่อช่วยเหลือกลุ่มล็อบบี้ไซออนิสต์ในตะวันตก

    เมื่อสิ้นสุดปี ค.ศ. 1939 อังกฤษและกลุ่มไซออนิสต์พันธมิตรได้เริ่มปฏิบัติการกวาดล้างชาวปาเลสไตน์อย่างเต็มรูปแบบ หมู่บ้านต่าง ๆ ถูกทำลาย มีการประกาศเคอร์ฟิว และมีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ และถูกจับเข้าคุกหลายพันคนเพื่อปูทางสำหรับการก่อตั้งกลุ่มไซออนิสต์

    กลุ่มก่อการร้ายไซออนิสต์ เช่น ฮากานาห์ เลฮี และอิร์กุน ปฏิบัติการภายใต้องค์กรที่นำโดยอังกฤษที่เรียกว่า “กองกำลังต่อต้านการก่อความไม่สงบ” ต่อมากลุ่มเหล่านี้ได้จัดตั้งกองกำลังทหารของอิสราเอล 

    ในปีพ.ศ. 2490 จนกระทั่งสหประชาชาติได้ผ่าน “มติ 181” เรียกร้องให้แบ่งแยกรัฐปาเลสไตน์ ชาวยิวจึงไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของดินแดนที่ต่อมาได้กลายเป็นดินแดนที่ถูกยึดครอง

    “มติที่ 181” ได้รับการผ่านเมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 และระบุว่า ปาเลสไตน์ควรแบ่งออกเป็นกลุ่มอาหรับและกลุ่มยิว โดยจัดสรรดินแดนทั้งหมดร้อยละ 55 ให้กับชาวยิว ซึ่งถือเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายระหว่างประเทศ

    เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 อำนาจของอังกฤษในการปกครองปาเลสไตน์ก็หมดลง พวกเขาจึงออกจากพื้นที่และกลุ่มไซออนิสต์ก็เริ่มใช้ความรุนแรงเพื่อขยายอาณาเขตที่ยึดครองและไร้ความชอบธรรม

    ระหว่างปี พ.ศ. 2490 ถึง 2492 หมู่บ้านและเมืองของชาวปาเลสไตน์หลายร้อยแห่งถูกทำลายล้าง และชาวบ้านในพื้นที่นับหมื่นคนถูกสังหาร ซึ่งถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

นัคบา (Nakba) หรือ หายนะ

    ผู้ที่รอดชีวิตจากการสังหารหมู่ครั้งนั้นถูกบังคับให้ละทิ้งบ้านเรือนและทรัพย์สินของตน ชาวปาเลสไตน์ประมาณ 750,000 คน ต้องละทิ้งบ้านบรรพบุรุษของตน การสังหารหมู่ชาวปาเลสไตน์ครั้งใหญ่และการอพยพครั้งใหญ่ของพวกเขานำไปสู่ ​​"นัคบา" หรือ "หายนะ"

    เกือบ 78 เปอร์เซ็นต์ของที่ดินของชาวปาเลสไตน์ถูกกองกำลังไซออนิสต์ยึดครองอย่างผิดกฎหมาย และในที่สุดเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2491 องค์กรไซออนิสต์ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ

    ต่อมาจึงเกิดสงครามอาหรับ-อิสราเอลระหว่างอียิปต์ เลบานอน จอร์แดน ซีเรีย และรัฐบาลอิสราเอล ฉนวนกาซาตกอยู่ภายใต้การควบคุมของอียิปต์ และจอร์แดนเข้ายึดครองเวสต์แบงก์

   ( Nakba) นัคบา ตามมาด้วยคำว่า นัคซา (Naksa) หรือ “ความพ่ายแพ้” เมื่อระบอบไซออนิสต์ยึดครองพื้นที่อื่น ๆ ของปาเลสไตน์ รวมทั้งฉนวนกาซา เวสต์แบงก์ เยรูซาเล็มตะวันออก ที่ราบสูงโกลันของซีเรีย และคาบสมุทรไซนายของอียิปต์ ระหว่างสงครามหกวันกับรัฐอาหรับ

    ต่อมารัฐบาลอิสราเอลได้จัดตั้งนิคมผิดกฎหมายในฉนวนกาซาและเวสต์แบงก์ ระบบการแบ่งแยกเชื้อชาติจึงเกิดขึ้น โดยให้สิทธิและเอกสิทธิ์ทั้งหมดแก่ผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยิวที่ผิดกฎหมาย ในขณะที่ชาวปาเลสไตน์พื้นเมืองต้องอาศัยอยู่ภายใต้การยึดครองของกองทัพและเผชิญกับการเลือกปฏิบัติ

     ระบบการแบ่งแยกสีผิวทำให้เกิดการลุกฮือ (intifada) ครั้งแรกในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2530 เมื่อชาวปาเลสไตน์ชุมนุมต่อต้านการยึดครองอิสราเอลโดยผิดกฎหมาย การลุกฮือของประชาชนดำเนินต่อไปเป็นเวลา 6 ปี เมื่อระบอบไซออนิสต์ใช้หลักการ "หักกระดูก" ส่งผลให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตหลายพันคน

    ในช่วงอินติฟาดาครั้งแรก กลุ่มต่อต้านของฮามาส ซึ่งมีฐานอยู่ในฉนวนกาซาได้ก่อตั้งขึ้น

    อินติฟาดาครั้งที่สอง เกิดขึ้นในเดือนกันยายน พ.ศ.2543 เมื่อแอเรียล ชารอน ซึ่งต่อมาได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของระบอบการปกครองอิสราเอล ได้เดินทางไปเยือนมัสยิดอัลอักซออันศักดิ์สิทธิ์ เหมือนเป็นการปลุกระดม

    ในช่วงเวลานี้ การก่อสร้างนิคมบนดินแดนของชาวปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครองเริ่มแพร่หลาย โครงสร้างพื้นฐานและแหล่งทำกินของชาวปาเลสไตน์ถูกทำลาย รัฐบาลยิวได้ผลักดันให้ผู้อยู่อาศัยเดิมต้องอยู่โดดเดี่ยวในพื้นที่ห่างไกล และถึงขั้นห้ามใช้ถนนธรรมดา

    หลังจากอินติฟาดะครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2548 การตั้งถิ่นฐานของอิสราเอลในฉนวนกาซาก็ถูกรื้อถอน และมีการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติขึ้นเป็นครั้งแรกในพื้นที่ที่กลุ่มฮามาสได้เสียงข้างมาก

    การที่กลุ่มฮามาสขึ้นสู่อำนาจในฉนวนกาซาและการขับไล่ระบอบการปกครองไซออนิสต์ออกจากพื้นที่ชายฝั่งทำให้เกิดการปิดล้อมด้านมนุษยธรรมที่ร้ายแรง ซึ่งยิ่งมีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

    เป็นเวลาเกือบสองทศวรรษแล้วที่มีผู้คนมากกว่าสองล้านคนที่ต้องเผชิญการปิดล้อม

    ในช่วงเวลาดังกล่าว รัฐบาลอิสราเอลได้โจมตีฉนวนกาซาบ่อยครั้ง ในปี ค.ศ. 2008, 2012, 2014, 2021 และ 2023 ชาวปาเลสไตน์หลายพันคนถูกสังหารโดยรัฐบาลอิสราเอลที่ยึดครอง

    สิ่งที่เริ่มต้นด้วยคำประกาศบัลโฟร์ เมื่อ 107 ปีก่อน ยังคงดำเนินต่อไปในปัจจุบัน นั่นก็คือการกำจัดชาวปาเลสไตน์ โดยไม่คำนึงถึงเพศและอายุ


บทความ : Humaira Ahad

ที่มา : สำนักข่าวเพรสทีวี

Copyright © 2024 SAHIBZAMAN.NET- สื่อเรียนรู้สำหรับอิสระชนคนรุ่นใหม่