เจ้าของกรรมสิทธิ์ปาเลสไตน์ในพันธสัญญาเดิม ตอนที่ 3
Powered by OrdaSoft!
No result.

เจ้าของกรรมสิทธิ์ปาเลสไตน์ในพันธสัญญาเดิม ตอนที่ 3

มูซา (อ.) ได้เอาคำมั่นสัญญาจากชาวยิว ก่อนเข้าสู่ปาเลสไตน์

         “พระผู้เป็นเจ้าผู้ซึ่งได้ทรงประทานดินแดนปาเลสไตน์ให้กับพวกยิวนั้น พระองค์ก็ได้ทรงสอนแก่ชาวยิวถึงวิถีชีวิตในดินแดนแห่งนั้นไว้อย่างชัดเจนในคัมภีร์โตราห์และได้ทำให้หลักฐานและข้อพิสูจน์ในเรื่องนี้เป็นที่สมบูรณ์แล้วสำหรับพวกเขา  ดังนั้นหากพวกเขายังคงยื่นมือสู่การประกอบความชั่วต่างๆ ข้างต้นแล้ว พระองค์เองจะทรงลงโทษพวกเขาในโลกนี้”

          ชาวไซออนิสต์กล่าวอ้างความเป็นกรรมสิทธิ์ในดินแดนปาเลสไตน์โดยอ้างคัมภีร์โตราห์ (เตาร๊อต) หรือพันธสัญญาเดิม การศึกษาตรวจสอบคัมภีร์โตราห์แสดงให้เห็นว่า พระผู้เป็นเจ้าได้มอบแผ่นดินปาเลสไตน์ให้กับศาสดาอิบรอฮีม (อ.) หรืออับราฮัม และพระองค์ได้ทรงเน้นย้ำต่ออิบรอฮีมว่า เชื้อสายของท่านจะต้องเป็นผู้ศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว (มุวะฮ์ฮิด) หากไม่เช่นนั้นแล้วพระผู้เป็นเจ้าจะทรงขับไล่พวกเขาออกจากแผ่นดินนี้

         เงื่อนไขนี้ได้ถูกตอกย้ำโดยศาสดามูซา (อ.) หรือโมเซสด้วยเช่นกัน และเกี่ยวกับเรื่องนี้พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงปรีชาญาณ ได้ทรงเอาคำมั่นสัญญาที่หนักแน่นจากชาวยิว แต่เงื่อนไขนี้ไม่ได้รับการเคารพ และพระผู้เป็นเจ้าจึงได้ทรงเนรเทศบนีอิสรออีล (เผ่าพันธุ์อิสราเอล) ออกจากแผ่นดินปาเลสไตน์สองครั้ง และครั้งที่สามพระองค์ได้ทรงเนรเทศพวกเขาตลอดไป

         เผ่าพันธุอิสราเอลได้ถูกเนรเทศครั้งแรกไปยังอียิปต์ ในสมัยของศาสดายูซุฟ (อ.) หรือโจเซฟ และพำนักอาศัยอยู่ที่นั่นถึงสี่รุ่น จนกระทั่งพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงนำพวกเขากลับมายังปาเลสไตน์โดยสื่อศาสดามูซา (อ.) หรือโมเสส  การเนรเทศชาวยิวครั้งที่สองไปยังบาบิโลน เกิดขึ้นในช่วง 586 ปีก่อนคริสตกาล หลังจากที่บุคตุนนัศร์ (เนบูคัดเนสซาร์ / Nebuchadnezzar) ได้พิชิตนครเยรูซาเล็มและวิหารโซโลมอนได้ถูกทำลายลง และท้ายที่สุดในปี ค.ศ. 70 คือ 40 ปีหลังจากที่ศาสดาอีซา (อ.) หรือพระเยซู ได้ทำให้หลักฐานข้อพิสูจน์เป็นที่สมบูรณ์ (อิตมาม ฮุจญัต) ต่อกลุ่มชนนี้แล้ว 

         การลงโทษ (บะลาอ์) ของพระผู้เป็นเจ้าได้เกิดขึ้นกับกลุ่มชนนี้โดยสื่อชาวโรมัน และชาวยิวได้ถูกเนรเทศออกจากปาเลสไตน์ตลอดกาล วิธีเดียวที่ชาวยิวจะกลับไปยังปาเลสไตน์ได้ คือการที่พวกเขาจะต้องสารภาพผิดและกลับตัวกลับใจ (เตาบะฮ์) และหันออกจากแนวทางของบรรพบุรุษของพวกเขา ประเด็นนี้รับรู้ได้จากอายะฮ์ (โองการ) ที่ 8 ของซูเราะฮ์ (บท) อัลอิสรออ์ ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า :

عَسىَ‏ رَبُّكمُ‏ْ أَن يَرْحَمَكمُ‏ْ  وَ إنْ عُدتمُ‏ْ عُدْنَا

“หวังว่าพระผู้อภิบาลของพวกเจ้าจะทรงเมตตาพวกเจ้า (หากพวกเจ้ากลับตัวกลับใจ) และหากพวกเจ้าย้อนกลับมา (เนรคุณ) อีกเราก็จะกลับมา (ลงโทษพวกเจ้า) อีก

        ชาวยิวตระหนักถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้ได้ดีกว่าคนอื่นๆ  และด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้เองที่ว่าเป็นระยะเวลาถึง 18 ศตวรรษหลังจากการถูกเนรเทศออกจากปาเลสไตน์ พวกเขาไม่ได้ดำเนินการใดๆ ที่จะย้อนกลับไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้อีกเลย แต่พวกอุตริชาวยิวในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ได้กล่าวอ้างความเป็นกรรมสิทธิ์ในดินแดนปาเลสไตน์บนพื้นฐานของคัมภีร์โตราห์ ในชุดบทความนี้พยายามที่จะตรวจสอบคำกล่าวอ้างของชาวไซออนิสต์โดยใช้ภาษาง่ายๆ

      (ชาวยิวภายใต้การนำของโยชูวา (ศาสดาโยชะฮ์ บินนูน (อ.)) ข้ามแม่น้ำจอร์แดนเพื่อเข้าสู่ปาเลสไตน์

การเข้าสู่แผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวยิวโดยมีเงื่อนไข

         ท่านศาสดามูซา (อ.) หรือโมเสสได้เสียชีวิตในช่วงสิ้นสุดระยะสี่สิบปีของการร่อนเร่อยู่ในทะเลทราย และผู้สืบทอด (วะซีย์) ของท่าน คือ ยูชะอ์ บินนูน (หรือโยชูวา บุตรนูน) ได้นำชาวยิวเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์  ท่านศาสดามูซา (อ.) ได้สั่งเสียสิ่งต่างๆ มากมายต่อยูชะอ์ (อ.) และได้แจ้งให้ท่านรู้ถึงความผิดบาปต่างๆ ที่ใหญ่หลวงที่ชาวยิวประกอบมันในอนาคต ด้วยเหตุนี้เองเพื่อที่จะทำให้หลักฐานเป็นที่สมบูรณ์ต่อชาวยิว ท่านศาสดามูซา (อ.) จึงได้สั่งแก่ยูชะอ์ (อ.) ว่า เมื่อพวกท่านเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว บรรดาปุโรหิตของกลุ่มชน (จากเผ่าเลวี) และอีกหกเผ่าจากลูกๆ ของยาโคบ (ศาสดายะอ์กูบ (อ.)) จะขอพรให้แก่กลุ่มชน ส่วนอีกหกเผ่าที่เหลือก็จะทำการสาปแช่งพวกเคารพบูชารูปเจว็ดและบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาของกลุ่มชนในอนาคต : ดู(เฉลยธรรมบัญญัติ : 27/11 ถึง 26)

11- ในวันเดียวกันนั้นโมเสสสั่งประชากรดังนี้ว่า
12- เมื่อท่านข้ามแม่น้ำจอร์แดนแล้ว เผ่าสิเมโอน เลวี ยูดาห์ อิสสาคาร์ โยเซฟ และเบนยามิน จะยืนอยู่บนภูเขาเกริซิมเพื่ออวยพรประชากร
13- ส่วนเผ่ารูเบน กาด อาเชอร์ เศบูลุน ดาน และนัฟทาลี จะยืนอยู่บนภูเขาเอบาล เพื่อกล่าวคำสาปแช่ง
14- คนเลวีจะป่าวร้องแก่ชนอิสราเอลด้วยเสียงอันดังว่า
15- “ขอแช่งคนที่แกะสลักหรือหล่อรูปเคารพซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรังเกียจ เป็นผลงานจากน้ำมือของช่างและตั้งไว้อย่างลับๆ” แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า “อาเมน!”
16- “ขอแช่งคนที่ไม่ให้เกียรติบิดามารดา” แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า “อาเมน!”
17- “ขอแช่งคนที่ย้ายหลักเขตที่ดินของเพื่อนบ้าน” แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า “อาเมน!”
18- “ขอแช่งคนที่นำคนตาบอดให้หลงทาง” แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า “อาเมน!”

19- “ขอแช่งคนที่ไม่ให้ความยุติธรรมแก่คนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อ หรือหญิงม่าย” แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า “อาเมน!”
20- “ขอแช่งคนที่หลับนอนกับภรรยาของบิดา เพราะเขาหยามเกียรติบิดาของเขา” แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า “อาเมน!”
21- “ขอแช่งคนที่สมสู่กับสัตว์” แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า “อาเมน!”
22- “ขอแช่งคนที่หลับนอนกับพี่สาวน้องสาวของตน ไม่ว่าจะเป็นบุตรสาวของบิดาหรือบุตรสาวของมารดาก็ตาม” แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า “อาเมน!”
23- “ขอแช่งคนที่หลับนอนกับแม่ยายของตน” แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า “อาเมน!”
24- “ขอแช่งคนที่ลอบสังหารเพื่อนบ้านของเขา” แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า “อาเมน!”
25- “ขอแช่งคนที่รับสินบนเพื่อฆ่าผู้บริสุทธิ์” แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า “อาเมน!”
26- “ขอแช่งคนที่ไม่ยึดมั่นปฏิบัติตามบทบัญญัตินี้” แล้วประชากรทั้งปวงจะขานรับว่า “อาเมน!”

        การแสดงอันยิ่งใหญ่และการพูดถึงการสาปแช่งเหล่านี้ภายใต้ท้องฟ้า ได้สะท้อนให้เห็นถึงสาส์นที่ว่าชาวยิวไม่มีสิทธิ์ที่จะใช้ชีวิตอยู่ในปาเลสไตน์อย่างไรก็ได้ตามที่พวกเขาต้องการ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ซึ่งได้ทรงประทานดินแดนปาเลสไตน์ให้กับพวกยิวนั้น พระองค์ก็ได้ทรงสอนแก่ชาวยิวถึงวิถีชีวิตในดินแดนแห่งนั้นไว้อย่างชัดเจนในคัมภีร์โตราห์และได้ทำให้หลักฐานและข้อพิสูจน์ในเรื่องนี้เป็นที่สมบูรณ์แล้วสำหรับพวกเขา ดังนั้นหากพวกเขายังคงยื่นมือสู่การประกอบความชั่วต่างๆ ข้างต้นแล้ว พระองค์เองก็จะทรงลงโทษพวกเขาในโลกนี้    

        หนังสือและสาส์นต่างๆ ของพันธะสัญญาเดิมบอกแก่เราว่า น่าเศร้าใจที่ชาวยิวนอกเหนือไปจากการบาปสิบสองข้อข้างต้นแล้ว พวกเขายังได้กระทำบาปอื่นๆ ด้วยเช่นกัน โดยบาปที่ใหญ่ที่สุด คือ การปรากฏตัวของบรรดาศาสดาปลอมและการเปลี่ยนแปลงคัมภีร์โตราห์โดยพวกปุโรหิตและบรรดาผู้จดบันทึก
มูซา (อ.) กล่าวถึงพรของพระเจ้าที่ให้แก่บรรดาผู้ศรัทธาชาวยิว
          ทันทีหลังจากคำสั่งเสียต่างๆ เกี่ยวกับการสาปแช่งข้างต้น ท่านศาสดามูซา (อ.) ได้กล่าวถึงสองเส้นทางในอนาคตของชาวยิว คือเส้นทางแห่งความดีและความจำเริญ หรือเส้นทางแห่งความชั่วและการลงโทษ ท่านศาสดามูซา (อ.) เริ่มต้นด้วยการประกาศแก่พวกเขาถึงความจำเริญต่างๆ ของอัลลอฮ์ ว่า ถ้าหากพวกท่านปฏิบัติตามคัมภีร์โตราห์และก้าวเดินไปในเส้นทางของผู้เป็นเจ้าแล้ว เมื่อนั้นผลผลิตของแผ่นดินและปสุสัตว์ของพวกท่านก็จะเปี่ยมไปด้วยความจำเริญและพรั่งพรู และศัตรูของพวกท่านจะถูกทำลายและพวกท่านก็จะอยู่อย่างสุขสบายตลอดไป :

1. หากท่านเชื่อฟังพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านอย่างครบถ้วน และหมั่นปฏิบัติตามพระบัญชาทั้งปวงซึ่งข้าพเจ้าแจ้งท่านในวันนี้ พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงเชิดชูท่านเหนือประชาชาติทั้งปวงในโลก

2. พรทั้งหมดนี้จะมีมาถึงท่านและดำรงอยู่กับท่าน หากท่านเชื่อฟังพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน

3. ท่านจะได้รับพรทั้งในเมืองและในทุ่งนา

4. ท่านจะได้รับพรให้มีบุตรหลานมากมาย ให้ท้องทุ่งของท่านเกิดผลมาก และให้ฝูงสัตว์และฝูงแพะแกะของท่านมีลูกดก

5. ท่านจะได้รับพรให้ตะกร้ามีพืชผลล้นหลาม และรางนวดแป้งเต็มไปด้วยขนมปัง

6. ท่านจะได้รับพรไม่ว่าจะไปทางไหน

7. องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปราบศัตรูทั้งหลายต่อหน้าท่าน พวกเขาจะเดินทัพมาสู้ท่านทางเดียว แต่แตกฉานซ่านเซ็นไปเจ็ดทาง

8. องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงอวยพรยุ้งฉางของท่านและทุกสิ่งที่ท่านลงมือทำ พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงอวยพรท่านในดินแดนซึ่งพระองค์ประทานแก่ท่าน

9. หากท่านถือรักษาพระบัญชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านและดำเนินตามทางของพระองค์ องค์พระผู้เป็นเจ้าก็จะทรงตั้งท่านให้มั่นคงในฐานะชนชาติบริสุทธิ์ของพระองค์ตามที่ทรงสัญญาไว้กับท่านด้วยคำปฏิญาณ

10. แล้วประชาชาติทั้งปวงในโลกจะเห็นว่าท่านได้รับการขนานนามตามพระนามของพระยาห์เวห์ และพวกเขาจะเกรงกลัวท่าน

11. องค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานความเจริญรุ่งเรืองอย่างล้นเหลือแก่ท่าน ในเรื่องบุตรหลาน ลูกอ่อนของฝูงสัตว์ และพืชผลจากแผ่นดิน ในดินแดนที่ทรงปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของท่านว่าจะยกให้ท่าน

12. องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเปิดฟ้าสวรรค์ซึ่งเป็นคลังอันอุดมสมบูรณ์ของพระองค์ ให้ฝนตกในแผ่นดินของท่านตามฤดูกาล และจะทรงอวยพรงานทุกอย่างที่ท่านทำ ท่านจะให้หลายชาติกู้ยืม แต่ไม่ยืมจากใครเลย

13. องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกระทำให้ท่านเป็นหัวไม่ใช่หาง ถ้าเพียงแต่ท่านใส่ใจพระบัญชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านซึ่งข้าพเจ้าแจ้งท่านในวันนี้ และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ท่านจะอยู่เบื้องบนสุดเสมอ ไม่เคยอยู่เบื้องล่างเลย

14. อย่าหันเหจากพระบัญชาซึ่งข้าพเจ้าแจ้งท่านในวันนี้ไปทางขวาหรือทางซ้าย อย่าไปติดตามและปรนนิบัติพระอื่นใด

 (เฉลยธรรมบัญญัติ : 28/1 ถึง 14) 

มูซา (อ.) ได้กล่าวถึงการลงโทษของพระเจ้าต่อบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาชาวยิว

       พร้อมกับการกล่าวถึงพรต่างๆ ของพระเจ้าประมาณหนึ่งหน้ากระดาษนั้น เกือบสี่หน้ากระดาษที่กล่าวถึงคำสาปแช่งและการลงโทษของพระเจ้าซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนชั่วร้ายของหมู่ชนนี้มีมากกว่าคนดีของพวกเขา ข้อเท็จจริงเหล่านี้ได้ถูกอ้างไว้ใน “เลวีนิติ : 26” และใน “เฉลยธรรมบัญญัติ : 28” และเราจะอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลหลัง

        ท่านผู้อ่านทั้งหลายจงพิจารณาดูสำนวนเหล่านี้จากพระดำรัสของพระเจ้าผู้ทรงเดชานุภาพและผู้ทรงปรีชาญาณตามพระคัมภีร์โตราห์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งท่านศาสดามูซา (อ.) ได้ประกาศมันแก่ชาวยิวก่อนที่จะเข้าสู่ปาเลสไตน์  :

15. แต่หากท่านไม่เชื่อฟังพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านและไม่ใส่ใจปฏิบัติตามพระบัญชาและกฎหมายทั้งปวงซึ่งข้าพเจ้ากำลังแจ้งท่านในวันนี้ คำสาปแช่งทั้งปวงนี้ก็จะตกมาถึงท่าน

16. ท่านจะถูกสาปแช่งทั้งในเมืองและในทุ่งนา

17. ท่านจะถูกสาปแช่งโดยให้ตะกร้าของท่านปราศจากพืชผลและรางนวดแป้งไม่มีขนมปัง

18. ท่านจะถูกสาปแช่งโดยให้มีลูกหลานน้อย และให้ท้องทุ่งของท่านไม่เกิดผล และฝูงวัวฝูงแพะ แกะ ก็ไม่มีลูก

19. ท่านจะถูกสาปแช่งไม่ว่าท่านจะไปทางไหน

20. องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงให้คำสาปแช่งตกอยู่แก่ท่าน ท่านจะเดือดร้อนวุ่นวายและล้มเหลวในกิจการทุกอย่างที่ท่านทำจนกว่าท่านจะถูกทำลายล้าง และถึงแก่หายนะอย่างรวดเร็ว เพราะความชั่วร้ายของท่านที่ได้ละทิ้งพระองค์

21. องค์พระผู้เป็นเจ้าจะลงโทษท่านด้วยโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ จนกว่าพระองค์จะทำลายท่านให้หมดไปจากดินแดนที่ท่านจะเข้ายึดครอง
22. องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงบันดาลโรคภัยกัดกร่อนชีวิต ด้วยความเจ็บไข้และการอักเสบ ด้วยความร้อนระอุและความแห้งแล้ง ด้วยเชื้อราและแมลงทำลายต้นไม้ ซึ่งจะเล่นงานท่านจนท่านพินาศไป

23. ท้องฟ้าเหนือศีรษะของท่านจะเป็นเหมือนทองสัมฤทธิ์ และแผ่นดินเบื้องล่างจะเป็นเหมือนเหล็ก

24. องค์พระผู้เป็นเจ้าจะบันดาลให้ฝนกลายเป็นฝุ่นผงลงมาจากท้องฟ้าจนกว่าท่านจะถูกทำลายล้างไป

25. องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำให้ท่านพ่ายแพ้ศัตรู ท่านจะออกไปประจันหน้ากับพวกเขาทางเดียว แต่เตลิดหนีจากเขาเจ็ดทาง และท่านจะกลายเป็นสิ่งที่น่าสยดสยองแก่อาณาจักรทั้งปวงในโลก

26. ซากศพของพวกท่านจะตกเป็นเหยื่อของนกในอากาศและสัตว์ป่าในแผ่นดินโลก และจะไม่มีผู้ใดขับไล่พวกมันไป

27. องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงใช้ฝีอย่างที่เคยเกิดกับอียิปต์ เนื้องอก แผล เนื้อร้าย และโรคคันซึ่งรักษาไม่หายทรมานท่าน

28. องค์พระผู้เป็นเจ้าจะใช้ความคลุ้มคลั่ง ความมืดบอด และความวุ่นวายใจทรมานท่าน

29.เวลากลางวันแสกๆ ท่านจะคลำสะเปะสะปะเหมือนคนตาบอดอยู่ในความมืด ท่านจะไม่ประสบความสำเร็จในกิจการใดๆ ที่ท่านทำเลย ท่านจะถูกกดขี่ข่มเหงและถูกปล้นชิงวันแล้ววันเล่าโดยไม่มีใครช่วยท่าน

30. ท่านจะหมั้นหมายหญิงสาวไว้เป็นภรรยาแต่ชายอื่นจะข่มขืนนาง ท่านจะสร้างบ้านแต่ไม่ได้อาศัยในบ้านนั้น ท่านจะลงแรงปลูกสวนองุ่นแต่ไม่มีวันได้กินผลของมัน

31. วัวของท่านจะถูกเชือดต่อหน้าต่อตาท่าน แต่ท่านจะไม่ได้ลิ้มรสมันเลย ลาของท่านจะถูกไล่ต้อนไปต่อหน้าท่านและไม่ได้กลับคืนมา แกะของท่านจะถูกยกให้แก่ศัตรูและจะไม่มีใครช่วยปกป้องมัน
32. บุตรชายบุตรสาวของท่านจะถูกยกให้เป็นทาสของชาติอื่น ท่านจะตั้งตาคอยลูกวันแล้ววันเล่าแต่ไม่อาจช่วยอะไรเขาได้
33. คนต่างชาติซึ่งท่านไม่เคยรู้จักจะมากินผลผลิตซึ่งท่านลงแรงเพาะปลูก ตลอดวันคืนแห่งชีวิตของท่านจะมีแต่การกดขี่ข่มเหงอันโหดร้ายทารุณ

34. ท่านจะคลุ้มคลั่งไปเพราะเหตุการณ์โศกสลดที่เห็น

35. องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทรมานกายของท่านด้วยฝีที่เจ็บปวดซึ่งรักษาไม่หาย เป็นแผลลามตั้งแต่ส้นเท้าขึ้นไปถึงกลางกระหม่อม

36. องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเนรเทศท่านและกษัตริย์ซึ่งท่านเลือกให้ปกครองท่านนั้นไปยังชนชาติซึ่งท่านหรือบรรพบุรุษไม่เคยรู้จัก ท่านจะนมัสการพระอื่นๆ ซึ่งสร้างขึ้นจากไม้และหินที่นั่น 37. ท่านจะกลายเป็นสิ่งที่น่าสยดสยอง เป็นขี้ปากและคำถากถางในหมู่ชาติต่างๆ ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงขับไล่ไสส่งท่านไป

(เฉลยธรรมบัญญัติ : 28/15 ถึง 37)

         คำสาปแช่งทั้งหมดนี้จะลงมาเหนือท่านไล่ตามท่าน และจะตามทันท่าน จนกว่าท่านจะถูกทำลาย เพราะว่าท่านไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ที่จะรักษาพระบัญญัติและกฎเกณฑ์ของพระองค์ซึ่งพระองค์ทรงบัญชาท่านไว้ 

        สิ่งเหล่านี้จะเป็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์อยู่เหนือท่าน และเหนือลูกหลานของท่านเป็นนิตย์ เพราะท่านไม่ได้ปรนนิบัติพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านด้วยความยินดีและใจชื่นชม เพราะเหตุมีสิ่งสารพัดบริบูรณ์

        เพราะฉะนั้นท่านจึงต้องปรนนิบัติศัตรูของท่าน ซึ่งพระยาห์เวห์จะทรงใช้มาต่อสู้กับท่าน ด้วยความหิวและกระหาย เปลือยกายและขัดสนทุกอย่าง และพระองค์จะทรงวางแอกเหล็กบนคอของท่าน จนกว่าพระองค์จะทรงทำลายท่านเสียสิ้น

        พระยาห์เวห์จะทรงนำประชาชาติหนึ่งมาต่อสู้กับท่านจากทางไกล จากที่สุดปลายแผ่นดินโลก เร็วเหมือนนกอินทรีบินมา เป็นประชาชาติที่ท่านไม่รู้จักภาษาของเขา เป็นประชาชาติที่มีหน้าตาดุ คือผู้ซึ่งไม่เคารพผู้อาวุโสและไม่พอใจหนุ่มสาว และจะรับประทานลูกสัตว์ของท่าน และพืชผลจากพื้นดินของท่าน จนท่านจะถูกทำลาย ทั้งเขาจะไม่เหลือข้าว เหล้าองุ่นใหม่ หรือน้ำมัน ลูกโคหรือลูกแกะอ่อนไว้ให้ท่าน จนกว่าเขาจะทำให้ท่านพินาศ เขาจะล้อมท่านไว้ทุกเมืองจนกำแพงสูงและเข้มแข็งซึ่งท่านไว้วางใจนั้น พังทลายลงทั่วแผ่นดินของท่าน ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน ท่านจะต้องรับประทานพงศ์พันธุ์แห่งร่างกายของท่าน คือเนื้อบุตรชายและบุตรสาวของท่าน ผู้ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน ในการล้อมและในความทุกข์ลำบาก ซึ่งศัตรูของท่านมาทำให้ท่านทั้งหลายทุกข์ลำบากนั้น

       ผู้ชายสำรวยและสำอางเหลือเกินในหมู่พวกท่าน จะมีตาที่ประสงค์ร้ายต่อพี่น้องของตน ต่อภรรยาที่อยู่ในอ้อมอกของตน และต่อลูกๆ ที่เหลืออยู่กับตน เขาจะไม่ยอมให้ใครได้เนื้อลูกของตนซึ่งกำลังกินอยู่ เพราะไม่มีอะไรเหลือให้เขาอีกแล้ว ในการล้อมและในความทุกข์ลำบาก ซึ่งศัตรูของท่านมาทำให้ท่านทุกข์ลำบากทุกเมือง

       ผู้หญิงสำรวยและสำอางในหมู่พวกท่าน ซึ่งไม่เคยย่างเท้าลงดิน เพราะเป็นคนสำอางและสำรวยอย่างนั้น จะมีตาที่ประสงค์ร้ายต่อสามีในอ้อมอกของเธอ และต่อบุตรชายและบุตรสาวของเธอ แม้แต่กับรกซึ่งเพิ่งออกมาจากหว่างขาของเธอ และลูกแดงที่เพิ่งคลอด เพราะว่าเธอจะแอบกินเป็นอาหาร เพราะขัดสนทุกอย่าง ในการถูกล้อมและในความทุกข์ลำบาก ซึ่งศัตรูของท่านมาทำให้ท่านทุกข์ลำบากทุกเมือง

       ถ้าท่านทั้งหลายไม่ระวังที่จะทำตามถ้อยคำทั้งสิ้นของธรรมบัญญัติซึ่งเขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้ ที่จะให้ยำเกรงพระนามอันทรงเกียรติและน่าเกรงขามนี้ คือพระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน แล้วพระยาห์เวห์จะทรงนำมาสู่ท่านและลูกหลานของท่านซึ่งความทุกข์ใจอย่างผิดธรรมดา ความทุกข์ใจร้ายแรงและเนิ่นนาน และความเจ็บป่วยต่างๆ ที่ร้ายแรงและเรื้อรัง

60. และพระองค์จะทรงนำโรคทั้งหลายแห่งอียิปต์ ซึ่งท่านกลัวนั้นมาสู่ท่านอีก และมันจะติดพันท่านอยู่

61. โรคทุกอย่างและความทุกข์ใจทุกอย่าง ซึ่งไม่ได้ระบุไว้ในหนังสือแห่งธรรมบัญญัตินี้ พระยาห์เวห์จะทรงนำมายังท่าน จนกว่าท่านจะถูกทำลาย แม้ว่าพวกท่านมีมากอย่างดวงดาวในท้องฟ้านั้น ท่านก็จะเหลือแต่จำนวนน้อย เพราะท่านไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ซึ่งพระยาห์เวห์พอพระทัยที่จะทรงทำดีต่อท่าน และทรงอวยพรให้ท่านทวีมากขึ้นนั้น พระองค์ก็จะพอพระทัยที่จะทรงทำให้ท่านพินาศและทรงทำลายท่านเสียเช่นเดียวกัน ท่านจะต้องถูกถอนออกไปเสียจากแผ่นดินซึ่งท่านกำลังจะเข้ายึดครองนั้น และพระยาห์เวห์จะทรงทำให้ท่านทั้งหลายกระจัดกระจายไปท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย ตั้งแต่ที่สุดปลายโลกข้างนี้ไปถึงข้างโน้น ณ ที่นั่นท่านจะปรนนิบัติพระอื่นๆ ซึ่งท่านและบรรพบุรุษของท่านไม่รู้จัก คือพระซึ่งทำด้วยไม้และหิน (เฉลยธรรมบัญญัติ : 28/45 ถึง 64)

          ชนชาติทั้งหลายจะถามว่า “ทำไมองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำต่อดินแดนนี้ถึงเพียงนี้? เหตุใดพระองค์ทรงพระพิโรธรุนแรงขนาดนี้?”

          คำตอบก็คือ “เพราะชนชาตินี้ละทิ้งพันธสัญญาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา พันธสัญญาซึ่งพระองค์ทรงทำกับพวกเขาเมื่อครั้งพระองค์ทรงนำพวกเขาออกมาจากอียิปต์ พวกเขาหลงเตลิดไปกราบไหว้นมัสการพระอื่นๆ พระที่พวกเขาไม่รู้จัก พระที่พระองค์ไม่ได้ประทานให้พวกเขา ฉะนั้นพระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้าจึงเผาผลาญดินแดนนี้เพื่อพระองค์จะทรงนำคำสาปแช่งทั้งปวงที่บันทึกไว้ในหนังสือนี้ลงมาเหนือดินแดนของเขา โดยพระพิโรธอันร้อนแรงและความเกรี้ยวกราดอันใหญ่หลวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงขุดรากถอนโคนเขาออกจากแผ่นดิน และเหวี่ยงทิ้งไปในดินแดนอื่นดังที่เป็นอยู่ขณะนี้” (1) (เฉลยธรรมบัญญัติ : 29/24 ถึง 28)

        คำทำนายถึงกรณีเหล่านี้ก่อนที่จะเข้าสู่ปาเลสไตน์ ก็เพื่อเป็นการเตือนชาวยิวและการทำให้หลักฐานเป็นที่สมบูรณ์กับคนเหล่านี้ เพื่อว่าพวกเขาจะได้เกิดความยำเกรงพระเจ้าในหัวใจของพวกเขาและเกรงกลัวต่อการลงโทษของพระองค์ กระนั้นก็ตามชาวยิวก็ยังคงกระทำบาปต่างๆ ที่ถูกกล่าวถึงเหล่านั้นและเป็นผลทำให้ความทุกข์ยากและโทษทัณฑ์เหล่านี้จากพระเจ้าจึงได้มาประสบกับพวกเขา  ประเด็นสำคัญก็คือ พระเจ้าทรงขู่สำทับแก่ชาวยิวว่า พระองค์จะทำให้พวกเขาเผชิญกับการลงโทษสี่ประการที่จะบั่นทอนเชื้อสายของพวกเขา ได้แก่ ดาบของศัตรู โรคภัยที่ไม่รู้จัก ความอดอยากและสัตว์ดุร้ายต่างๆ ที่พระเจ้าจะทรงส่งพวกมันไปยังเมืองทั้งหลายของชาวยิว

ชาวยิวไม่เชื่อฟังคำเตือนและการลงโทษได้มาประสบกับพวกเขา

        หลายกรณีของการลงโทษเหล่านี้สามารถพบเห็นได้ในพันธะสัญญาเดิมที่มีอยู่ในขณะนี้  ตัวอย่างเช่น ปัญหาความอดอยากที่นำไปสู่การกินเนื้อของลูกๆ  (เฉลยธรรมบัญญัติ : 28 / 53 ถึง 57) ชาวยิวที่อาศัยอยู่ในสะมาเรียถูกปิดล้อมโดยกลุ่มชนอาราเมียน  ในช่วงเวลานั้นเมื่อกษัตริย์ของชาวยิวได้เดินทางผ่านเมือง หญิงคนหนึ่งได้ทูลขอความต้องการต่อพระองค์ :

        อยู่มาภายหลังกษัตริย์เบนฮาดัดแห่งอารัมทรงระดมกองทัพทั้งหมดมาล้อมเมืองสะมาเรีย

        25. เป็นเหตุให้เกิดการกันดารอาหารครั้งใหญ่ในเมืองนั้น การล้อมเมืองยืดเยื้อจนแม้แต่หัวลายังมีราคาสูงเป็นเงินหนักถึง 80 เชเขล และเมล็ดถั่วป่า ประมาณ 0.3 ลิตร ซื้อขายกันเป็นเงินหนัก 5 เชเขล ขณะกษัตริย์อิสราเอลเสด็จผ่านใกล้กำแพงเมือง หญิงคนหนึ่งร้องทูลว่า “ฝ่าพระบาท โปรดเมตตาหม่อมฉันด้วยเถิด!”

        กษัตริย์ตรัสตอบว่า “หากองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงช่วยเจ้า เราจะหาความช่วยเหลือจากที่ไหนมาให้เจ้า? จากลานนวดข้าวหรือ? จากบ่อย่ำองุ่นหรือ?” 28 แล้วพระองค์ตรัสถามว่า “มีเรื่องอะไรหรือ?”

        หญิงนั้นทูลว่า “ผู้หญิงคนนี้ได้กล่าวกับหม่อมฉันว่า ‘วันนี้ให้เรากินเนื้อลูกชายของเจ้า แล้ววันรุ่งขึ้นเราจะกินเนื้อลูกชายของฉัน’ 29 ฉะนั้นพวกเราจึงเอาลูกชายของหม่อมฉันมาทำอาหารกิน ครั้นวันรุ่งขึ้นหม่อมฉันบอกว่า ‘ฆ่าลูกของเธอสิ จะได้เอามากินกัน’ แต่เขากลับซ่อนลูกไว้” (2 พงศ์กษัตริย์ : 6 / 24 ถึง 29 ) (2)

        การกินเนื้อลูกๆ ได้เกิดขึ้นในช่วงที่เกิดความอดอยาก ทำนองเดียวกันนี้ในช่วงที่กรุงเยรูซาเล็มถูกทำลายครั้งที่สอง (ค.ศ. 70) “William McElwee Miller” นักเขียนคริสเตียนได้เขียนเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ตามแหล่งอ้างอิงของตนไว้ในหนังสือ " A history of the ancient church in the Roman and Persian empires " เช่นนี้ว่า  

       พวกชาวยิวทั้งหมดได้ก่อการกบฏและพวกทหารโรมันก็ได้มุ่งสู่เยรูซาเล็มเพื่อปราบปรามพวกเขาภายใต้การนำของติตุสโอรสของจักรพรรดิ (โรมัน) และได้ปิดล้อมเยรูซาเล็มเป็นระยะเวลาถึงห้าเดือน  ความอดอยากที่น่าสะพรึงกลัวได้ปกคลุมไปทั่วเมืองถึงขั้นที่กล่าวกันว่าแม้แต่ผู้เป็นแม่ก็ต้องประทังความหิวของตนด้วยการกินลูกน้อยของตน  ผลจากการสังหารหมู่และความอดอยากดังกล่าวทำให้ชาวยิวจำนวนเกือบหนึ่งล้านคนยิวได้เสียชีวิต และท้ายที่สุดทหารโรมันยึดครองเมืองเยรูซาเล็มและได้ทำการเผามหาวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ (A history of the ancient church in the Roman and Persian empires ,  แปลเป็นภาษาเปอร์เซีย โดย อะลี นุคุซตีน” กรุงเตหะราน, ปี 1931, สำนักพิมพ์ฮะซาฏีร, หน้าที่ 63) 

        ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้ชัดว่า ตามคัมภีร์โตราห์ปัจจุบัน แทนที่ชาวยิวจะค้นหาบรรดาบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์และเป็นศัตรูกับชนชาตินี้ จำเป็นที่พวกเขาจะต้องค้นหาว่าสาเหตุหลักในตัวของชาวยิวเอง โดยที่ความผิดบาปต่างๆ ของพวกเขานั่นเองที่เป็นสาเหตุทำให้พระเจ้าส่งพวกศัตรูมาเพื่อทำโทษพวกเขา : บุคตุนนัศร์ (เนบูคัดเนสซาร์ - Nebuchadnezzar), ติตุส (Titus) และอาจเป็นไปได้ว่ารวมถึงฮิตเลอร์ด้วย บุคตุนนัศร์และติตุสตามลำดับได้ทำลายมหาวิหารทั้งสองแห่งของชาวยิว คือวิหารซาโลมอนและวิหารเฮโรด


เชิงอรรถ :

[1] ประโยคนี้อนุมานได้ว่า คัมภีร์โตราห์หรืออย่างน้อยที่สุด “เฉลยธรรมบัญญัติ” นี้ได้ถูกเขียนขึ้นในช่วงเวลาของการร่อนเร่พลัดถิ่นและการถูกขับไล่ของชาวยิวออกจากปาเลสไตน์ กล่าวคือ หลังจากปี ค.ศ. 70 และการถูกทำลายพระวิหารที่สองของพระเจ้า
[2] อ้างความหมายภาษาไทยของคัมภีร์ไบเบิลจาก : www.biblegateway.com


แปล/เรียบเรียง : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ

Copyright © 2023 SAHIBZAMAN.NET- สื่อเรียนรู้อิสลามสำหรับอิสระชนคนรุ่นใหม่

ผู้เยี่ยมชมอยู่ขณะนี้

มี 533 ผู้มาเยือน และ ไม่มีสมาชิกออนไลน์ ออนไลน์

24775898
Today
Yesterday
This Week
Last Week
This Month
Last Month
All days
25806
52431
203280
24215661
1041563
1618812
24775898

พฤ 21 พ.ย. 2024 :: 14:30:25