ซิกร์มุซีบัตค่ำคืนและวันที่สิบ : ท่านอิมามฮุเซน ซัยยิดุชชุฮะดาอ์ (อ.)
Powered by OrdaSoft!
No result.
ซิกร์มุซีบัตค่ำคืนและวันที่สิบ :  ท่านอิมามฮุเซน ซัยยิดุชชุฮะดาอ์ (อ.)

คืนอาชูรอ คือคืนของวันที่เก้าค่ำลงของเดือนมุฮัรร็อม ในพิธีไว้อาลัยในคืนวันอาชูรอ จะมีการเล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในค่ายพักของท่านอิมามฮุเซน (อ.) และเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเป็นชะฮีดของท่านซัยยิดุชชุฮะดาอ์ (อ.) ค่ำคืนอาชูรอ เป็นค่ำคืนของฮุเซน บิน อะลี (อ.) ผู้เป็นแบบอย่างของบรรดาอิสระชนของโลก มีการรายงานไว้ในแหล่งอ้างอิงต่าง ๆ ว่า ท่านอิมามฮุเซน (อ.) และบรรดาสหายของท่านได้ใช้เวลาตลอดทั้งคืนนี้จนถึงรุ่งเช้าในการนมาซ วิงวอน และขออภัยโทษต่อพระผู้เป็นเจ้า (1)

ฮุเซน บิน อะลี (อ.)

    มารดาของท่านซัยยิดุชชุฮะดาอ์ (อ.) คือท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ.) บุตรีของท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) ซึ่งคัมภีร์อัลกุรอานได้ยืนยันและเป็นสักขีพยานถึงความสะอาดบริสุทธิ์ของท่านไว้ในอายะฮ์ อัต ตัฏฮีร ว่า :

اِنَّما یُریدُ اللَّهُ لِیُذْهِبَ عَنْکُمُ الرِّجْسَ اَهْلَ الْبَیْتِ وَ یُطَهِّرَکُمْ تَطْهیرا

           "อันที่จริงอัลลอฮ์ทรงประสงค์ที่จะมนทิลออกไปจากพวกเจ้า โอ้อะฮ์ลุลบัยต์เอ๋ย และทรง (ประสงค์) ที่จะขัดเกลาพวกเจ้าให้สะอาดบริสุทธิ์โดยแท้จริง" (2)

    ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ.) คือหัวหน้าของบรรดาสตรีในสากลโลก (3) ผู้เป็นที่รักของท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ และเป็นคนแรกที่จะเข้าสู่สวรรค์โดยการอนุมัติของอัลลอฮ์ (4) และบิดาของท่าน คือ อะลี บิน อบีฏอลิบ (อ.) ผู้ศรัทธาคนแรกในศาสนทูตของอัลลอฮ์ (5) ท่านคือ อมีรุลมุอ์มินีน (ผู้นำของปวงศรัทธาชน) , ซัยยิดุลเอาซิยาอ์ (หัวหน้าของปวงผู้สืบทอด) มีรายงานว่า ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) ได้กกล่าวเกี่ยวกับท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า :

لو کانَ البَحرُ مِداداً و الاشجارُ اقلاماً و اوراقُها قِرْطاساً، و الجنُّ و الانسُ کُتّاباً، لما احْصوا مَناقِبَهُ

          "มาตรแม้นทะเลจะเป็นน้ำหมึก ต้นไม้ทั้งมวลจะเป็นปากกา ใบของต้นไม้จะเป็นกระดาษ และญินและมนุษย์จะเป็นผู้เขียน ก็ไม่สามารถนับคุณงามความดีทั้งหลายของเขาได้" (6) ท่านอิมามฮะซัน และ ท่านอิมามฮุเซน (อ.) คือหัวหน้าของชายหนุ่มในสวรรค์ (7)

ความจงรักภักดีของบรรดาสหายของท่านอิมาม (อ.)

    ในช่วงแรกของกลางคืน ท่านอิมามฮุเซน (อ.) ได้รวมบรรดาสหายของท่าน และหลังจากการสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ท่านกล่าวว่า :

أَمَّا بَعْدُ فَإِنِّي لَا أَعْلَمُ أَصْحَاباً أَوْفَى وَ لَا خَيْراً مِنْ أَصْحَابِي وَ لَا أَهْلَ بَيْتٍ أَبَرَّ وَ لَا أَوْصَلَ مِنْ أَهْلِ بَيْتِي فَجَزَاكُمُ اللَّهُ عَنِّي خَيْرا

          “แท้จริงฉันไม่รู้ว่าจะมีสหายกลุ่มใดที่ซื่อสัตย์และดีไปกว่าบรรดาสหายของฉัน และไม่มีครอบครัวใดที่มีคุณธรรมและจิตใจเอื้ออารีไปกว่าครอบครัวของฉัน ขออัลลอฮ์ทรงตอบแทนความดีงามของพวกท่านแทนฉัน” จากนั้นท่านกล่าวต่อไปว่า : ฉันคิดว่านี่เป็นวันสุดท้ายที่เราได้รับการประวิงเวลาจากกลุ่มคนเหล่านี้ จงรู้เถิดว่าฉันอนุญาตให้พวกท่านเป็นอิสระ ดังนั้นทุกคนจงไปด้วยความสบายใจเถิด ไม่มีพันธะใดๆ จากฉันต่อพวกท่านอีกแล้ว บัดนี้ความมืดแห่งรัตติกาลได้ปกคลุมท่านแล้ว จงใช้มันเป็นเสมือนอูฐและจงไปเถิด” ในช่วงเวลานี้เอง อันดับแรกอะฮ์ลุลบัยต์ของท่านอิมามและหลังจากนั้นบรรดาสหายของท่านอิมามได้ประกาศความภักดีของพวกเขาในคำพูดต่างๆ ที่องอาจกล้าหาญและเน้นย้ำถึงการเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องท่านอิมาม (อ.) (8)

    ในคืนนั้น เมื่อท่านอิมามเข้าไปในกระโจมของน้องสาว ท่านหญิงซัยนับ (อ.) ได้ถามท่านอิมามว่า : “ท่านได้ทดสอบบรรดาสหายของท่านแล้วหรือไม่? ฉันกังวลว่าพวกเขาจะหันหลังให้กับเราและมอบท่านให้กับศัตรูในระหว่างการต่อสู้” ท่านอิมามตอบว่า : "ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ฉันได้ทดสอบบุคคลเหล่านี้แล้ว และฉันพบว่าพวกเขาพร้อมที่จะใช้หน้าอกของพวกเขาเป็นโล่ ในลักษณะที่พวกเขามองความตายด้วยหางตาของพวกเขา และพวกเขาผูกพันกับความตายในทางของฉัน เสมือนเด็กทารกที่ผูกพันต่อหน้าอกของแม่ของตน”

การปกป้องเกียรติของสตรี

    การรักษาเกียรติและสถานภาพของบรรดาสตรีและเด็กผู้หญิงในครอบครัวของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) โดยท่านอิมามฮุเซน (อ.) นั้นถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกเสมอ ถึงขั้นที่แม้แต่ในค่ำคืนของวันอาชูรอ ท่านอิมามก็ยังให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับเรื่องนี้ด้วยการขุดคันคู (สนามเพาะ) เพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูโจมตีจากด้านหลัง นอกจากนี้ โดยการตั้งกระโจมในลักษณะที่ซ้อนติดกัน จะสร้างความปลอดภัยให้กับผู้หญิงจากการบุกรุกและการโจมตีอย่างกะทันหันของศัตรู

    เพื่อปกป้องสถานภาพและเกียรติของบรรดาสตรีในครอบครัวของท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านหญิงซัยนับ กุบรอ (อ.) ท่านอิมามให้พวกนางสาบานว่าจะไม่ฉีกคอเสื้อหรือข่วนหน้าของตน และเมื่อท่านเป็นชะฮีดพวกนางจะต้องไม่ร้องให้ฟูมฟายและคร่ำครวญ (9)

    แต่ส่วนที่น่าจดจำที่สุดคือคำพูดของท่านอิมาม (อ.) ที่เกิดขึ้นในสถานที่ถูกสังหารและยังคงก้องอยู่ในหูของชาวโลก ใช่แล้ว! หลังจากที่ท่านอิมาม (อ.) ได้สูญเสียสหายของท่านทั้งหมดและเหลือท่านอยู่เพียงลำพังคนเดียว ตามการปลุกปั่นของอุมัร อิบนุ ซะอัด พวกเขาก็ปิดล้อมท่านอิมาม (อ.) จากทุกทิศทุกทางและทำการโจมตีท่าน ด้วยวิธีนี้ พวกเขาได้ทำให้ท่านอิมามแยกห่างออกมาจากกระโจมที่พักทั้งหลาย  และบรรดากระโจมของสตรีก็ตกอยู่ในอันตราย ในเวลานี้เองที่เสียงตระโกนของท่านอิมาม (อ.) ได้ดังขึ้นว่า :

وَيْحَكُمْ، يا شيعَةَ آلِ أَبي سُفْيانَ! إِنْ لَمْ يَكُنْ لَكُمْ دينٌ، وَكُنْتُمْ لا تَخافُونَ الْمَعادَ، فَكُونُوا أَحْرارًا في دُنْياكُمْ هذِهِ، وَارْجِعُوا إِلى أَحْسابِكُمْ إِنْ كُنْتُمْ عُرُبًا كَما تَزْعُمُون

           "ความวิบัติจงประสบกับพวกเจ้า! โอ้ชีอะฮ์ของอบีซุฟยาน! หากพวกเจ้าไม่มีศาสนาและพวกเจ้าไม่กลัววันแห่งการฟื้นคืนชีพ พวกเจ้าก็จงเป็นอิสระชนในโลกของนี้ของพวกเจ้าเถิด และพวกเจ้าจงหวนกลับมาดูเกียรติแห่งเผ่าพันธ์ุของพวกเจ้า หากพวกเจ้าเป็นชาวอาหรับ ดั่งที่พวกเจ้ากล่าวอ้าง"

    ในช่วงเวลานี้เอง ชิมร์ ตระโกนขึ้นว่า : “โอ บุตรของฟาฏิมะฮ์! เจ้ากำลังพูดอะไร?

    ท่านอิมามกล่าวว่า :

اقول انا الذی اقاتلکم و تقاتلونی و النساء لیس علیهن جناح فامنعوا عتاکم عن التعرض لحرمی ما دمت حیا

          "ฉันต้องการจะกล่าวว่า ฉันคือผู้ที่กำลังต่อสู้กับพวกเจ้าและพวกเจ้าก็กำลังต่อสู้กับฉัน และและบรรดาสตรีนั้นพวกนางไม่มีความผิด (ไม่เกี่ยวข้อง) อะไร ดังนั้นจงห้ามพวกเหล่าทรชนของพวกเจ้าอย่าให้พวกเขาล่วงละเมิดบรรดาสตรีของฉัน ตราบที่ฉันยังมีชีวิตอยู่” (10)

 กางเกงยะมะนี

    ในช่วงบ่ายของวันอาชูรอ และในขณะอำลา เมื่อสหายของท่านอิมามฮุเซน (อ.) เหลืออยู่เพียงสามหรือสี่คนเท่านั้น ท่านอิมามฮุเซน (อ.) ได้เรียกขอกางเกงยะมะนี (เยเมน) นอกเหนือไปจากเสื้อผ้าที่ท่านสวมใส่ และกล่าวว่า :

اِئْتُونی بِثَوْب لا یُرْغَبُ فیهِ، اَلْبِسُهُ غَیْرَ ثِیابِی، لا اُجَرَّدُ، فَاِنِّی مَقْتُولٌ مَسْلُوبٌ

          “จงนำเสื้อผ้ามาชุดหนึ่งที่ไม่มีใครอยากได้มาให้ฉัน เพื่อที่ฉันจะได้สวมมันไว้ใต้เสื้อผ้าของฉัน และฉันจะได้ไม่ถูกเปลื้องเสื้อผ้า (หลังจากการเป็นชะฮีด) เพราะแท้จริงฉันรู้ว่าฉันจะถูกสังหารและเสื้อผ้าของฉันจะถูกปล้นสะดม” (11)

    พวกเขานำกางเกงขาสั้นและรัดรูปมาให้ แต่ท่านอิมาม (อ.) ไม่สวมใส่มัน และกล่าวว่า :

هذا لِباسُ اَهْلِ الذِّمَّهِ

          "นี่คือเสื้อผ้าของอะฮ์ลุซซิมมะฮ์ (ชาวกุฟฟารชาวคัมภีร์)” (12)

    พวกเขาได้นำเสื้อผ้าที่ยาวกว่ามาให้ ท่านอิมาม (อ.) ได้ฉีกจุดต่างๆ ของเสื้อผ้านั้นให้เป็นรอยขาด เพื่อว่าหลังจากการเป็นชะฮีดของท่าน มันจะไม่ถูกปล้น หลังจากนั้นท่านก็สวมใส่มัน แต่กระนั้นก็ตามหลังจากการเป็นชะฮีดของท่านอิมาม (อ.) บรรดาศัตรูที่ชั่วช้าก็ได้ปลดเอาเสื้อผ้านั้นออกจากร่างของท่าน (13)

ท่านอิมามฮุเซน (อ.) ในสนามศึก

    หลังจากการฝังศพทารก (อะลี อัศฆัร) แล้ว ท่านอิมามฮุเซน (อ.) ได้ลุกขึ้นและขึ้นขี่หลังม้าของท่าน และได้ไปหยุดอยู่ต่อหน้าหมู่ชน และกล่าวเทศนา ซึ่งส่วนเริ่มต้นของคำเทศนามีดังนี้ :

یا اهل الکوفه، قبحاً لکم و ترحاً و بؤساً لکم و تعساً استصرختمونا والهین فاتیناکم موجبین فشحذتم علینا سیفاً کان فی ایماننا

           “โอ้ ชาวกูฟะฮ์เอ๋ย! ความอัปยศ ความขมขื่น ความหายนะและเคราะห์กรรมจงบังเกิดกับพวกเจ้าเถิด พวกเจ้าร้องเรียกเราอย่างน่าสงสารเพื่อให้มาช่วยเหลือพวกท่าน และเมื่อเราตอบรับและมายังพวกเจ้า พวกเจ้าก็ชักดาบที่สาบานไว้กับเราห้ำหั่นเรา” (14)

    จากนั้นท่านอิมาม (อ.) ก็ขึ้นขี่หลังม้าและกล่าวว่า :

انا ابن علی الخیر من آل‌هاشم

          "ข้าคือ บุตรแห่งอะลี มนุษย์ที่ดีที่สุดจากวงศ์วานของฮาชิม" (15)

    จากนั้นท่านอิมามก็เรียกหาศัตรูให้มาต่อสู้ ท่านได้ฟาดฟันบรรดานักรบที่เรืองนามและมีชื่อเสียงของฝ่ายศัตรูทุกคนที่เข้ามาใกล้ท่านและสังหารพวกเขาจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง (16) จนกระทั่งมาลิก บิน นะซีร เข้ามาข้างหน้าท่าน และฟันดาบลงบนศีรษะของท่านอิมาม ดังนั้นดาบจึงทำให้ด้านหน้าของหมวกของท่านอิมามขาดและทะลุลงไปถึงศีรษะของท่านและทำให้ศีรษะของท่านอิามได้รับบาดเจ็บ ท่านอิมามฮุเซน (อ.) กล่าวกับเขาว่า : ฉันหวังว่าเจ้าจะไม่มีวันได้กินหรือดื่มด้วยมือนี้อีก และอัลลอฮ์จะทรงรวมเจ้าขึ้นพร้อมกับบรรดาผู้อธรรม (ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ)

    ควารัซมีได้กล่าวเสริมว่า : เมื่อท่านอิมามโยนหมวกนั้นทิ้ง ชายผู้นั้นก็เข้ามาอย่างช้าๆ และหยิบหมวกนั้นไป หลังจากสงครามสิ้นสุดลง เมื่อเขานำหมวกกลับบ้าน และมอบให้ภรรยาของเขาเพื่อล้างเลือดออกจากหมวกนั้น ภรรยาของเขาพูดกับเขาว่า : “ท่านนำหมวกของลูกชายของลูกสาวของศาสดากลับมาที่บ้านของฉันอย่างนั้นหรือ? จงออกไปจากฉัน ขออัลลอฮ์ทรงทำให้หลุมศพของท่านเต็มไปด้วยไฟ” เพื่อนๆ ของเขาเล่าว่า มือของเขาเหือดแห้งและดำรงชีวิตอยู่ในความยากจนและความทุกข์ยากจนกระทั่งเขาเสียชีวิต จากนั้นท่านอิมามฮุเซน (อ.) ได้สวมหมวกใบหนึ่งและพันผ้าโพกหัว (อะมามะฮ์) ทับไว้ ในขณะสภาพที่ท่านเหนื่อยล้าและอ่อนแอ หลังจากพันผ้าโพกหัวแล้ว ท่านอิมามฮุเซน (อ.) ได้มองไปทางซ้ายและขวาและไม่เห็นใครเลย จากนั้นท่านก็เงยหน้าขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วกล่าวว่า : ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า! พระองค์ทรงเห็นแล้วใช่ไหมว่าพวกเขาทำกับบุตรของศาสดาของพระองค์อย่างไร?” (17)

ความกล้าหาญและกำลังใจที่แข็งแกร่ง

    ท่านอิมามฮุเซน (อ.) ต่อสู้อย่างกล้าหาญและระมัดระวังตนจากบรรดานักแม่นธนู และท่านจะโจมตีกองทัพศัตรูอย่างต่อเนื่องในทุกโอกาส พร้อมกับกล่าวว่า : พวกเจ้ากำลังยั่วยุกันและกันให้ฆ่าฉันกระนั้นหรือ? หลังจากฉันแล้ว พวกเจ้าจะไม่ได้ฆ่าบ่าวคนใดของอัลลอฮ์ที่จะทำให้พระองค์ทรงพิโรธมากเท่ากับฆ่าฉันอีก ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ฉันหวังว่าพระองค์จะทรงให้เกียรติฉันด้วยการทำให้พวกเจ้าพบกับความอัปยศอดสู แล้วพระองค์จะทรงแก้แค้นให้เราโดยที่พวกเจ้าไม่เข้าใจ จงรู้ไว้เถิดว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ หากพวกเจ้าฆ่าฉัน อัลลอฮ์จะทรงทำให้พวกเจ้าห้ำหั่นชีวิตกันเอง และทำให้เลือดของพวกเจ้าถูกหลั่ง และสำหรับพวกเจ้าแล้ว พระองค์จะไม่ทรงพึงพอพระทัยกับสิ่งที่น้อยกว่าการลงโทษเป็นสองเท่าทวีคูณ (18)

   ฮะมีด บิน มุสลิม ได้กล่าวว่า :

فَوَاللَّهِ ما رَأَيتُ مَكثوراً قَطُّ، قَد قُتِلَ وُلدُهُ، وأهلُ بَيتِهِ وأصحابُهُ، أربَطَ جَأشاً ولا أمضى جَناناً مِنهُ (علیه‌السّلام) ، إذا كانَتِ الرَّجّالَةُ لَتَشُدُّ عَلَيهِ فَيَشُدُّ عَلَيها بِسَيفِهِ، فَیکشِفُهم عَن يَمينِهِ وشِمالِهِ انكِشافَ المِعزى إذا اشتدَّ علیهَا الذِّئبُ

          "ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ฉันไม่เคยเห็นผู้พ่ายแพ้คนใดที่ลูกๆ ครอบครัว และบรรดาสหายของเขาถูกสังหาร จะมีจิตใจแข็งแกร่ง สงบมั่น และมีความกล้าหาญมากไปกว่าเขา  บรรดาทหารราบวิ่งหนีจากขวาไปซ้ายเหมือนฝูงแพะที่ถูกสิงโตโจมตี" (19)

    ท่านอิมาม (อ.) ทำการโจมตีกองทัพศัตรูซึ่งมีจำนวนถึงสามหมื่นคน และพวกเขาจะแตกกระเจิงออกไปจากรอบตัวท่านเหมือนฝูงตั๊กแตนที่กระจัดกระจาย หลังจากนั้นท่านอิมามก็จะกลับไปยังที่เดิมของท่านและกล่าวว่า :

لاحول ولا قوة الا بالله العلی العظیم

          "ไม่มีพลังอำนาจใด ๆ เว้นแต่ด้วยการอนุมัติของอัลลอฮ์ผู้ทรงสูงส่งผู้ทรงยิ่งใหญ่" (20)

การโจมตีของนักแม่นธนู

    ท่านอิมาม (อ.) ทำการต่อสู้อย่างต่อเนื่องจนกระทั่งได้สังหารไพร่พลของยะซีดจำนวนมาก แล้วอุมัร บินซะอัดก็กล่าวกับกองทัพของเขาว่า : “ความวิบัติจงเกิดกับพวกเจ้า! พวกเจ้ารู้ไหมว่าพวกเจ้ากำลังต่อสู้กับใคร? บุคคลนี้คือบุตรชายของ “ก็อตตาลุอะรับ” (นักฆ่าอย่างมากมายแห่งอาหรับ) พวกเจ้าจงโจมตีเขาจากทุกทิศทุกทาง” ดังนั้นกลุ่มพลหอกและนักแม่นธนูกลุ่มใหญ่จึงทำการโจมตีท่าน ชิมร์ ซึ่งมองเห็นความกล้าหาญและการต่อสู้อย่างองอาจกล้าหาญของท่านอิมามฮุเซน (อ.) เขาจึงออกคำสั่งให้พลม้าถอยไปอยู่อยู่ข้างหลังพลธนู และออกคำสั่งให้พลธนูทำการยิง พวกเขาระดมยิงลูกธนูใส่ท่านอิมามมากจนกระทั่งร่างกายของท่านเต็มไปด้วยลูกธนู แล้วท่านก็นั่งลงและพวกเขาก็ยืนอยู่ตรงหน้าท่าน ในเวลานี้เอง ท่านหญิงซัยนับ (อ.) ได้ออกมาจากกระโจมและเห็นสถานการณ์นี้ จึงกล่าวกับอุมัร บินซะอัดว่า : "ความวิบัติจงประสบแก่เจ้า โอ้อุมัร! พวกเขากำลังฆ่าอบาอับดิลลาฮ์ (อ.) แล้วเจ้ากำลังเฝ้าดูอยู่หรือ?” อุมัรไม่ได้ตอบท่านหญิงซัยนับ (อ.) ดังนั้นซัยนับ (อ.) จึงตะโกนไปยังกองทัพของอุมัร บิน ซะอัดว่า : "ความวิบัติจงประสบกับพวกเจ้า! ในหมู่พวกเจ้าไม่มีมุสลิมสักคนเลยหรือ? ในเวลานี้เอง น้ำตาได้ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองของอิบนุซะอัด ไหลลงแก้มและเคราของเขา แล้วเขาก็หันหลังให้กับท่านหญิงซัยนับ (อ.) (21)

ช่วงเวลาแห่งการเป็นชะฮีด

    ท่านอิมามฮุเซน (อ.) ทำการต่อสู้อย่างหนัก จนกระทั่งร่างกายของท่านได้รับบาดแผลมากมาย และในสภาพที่ท่านไม่สามารถที่จะต่อสู้ต่อไปได้ ท่านก็หยุดพักเล็กน้อย ในขณะที่ท่านยืนอยู่นั้น ก็มีก้อนหินก้อนหนึ่งมากระแทกหน้าผากของท่าน ทำให้เลือดไหลออกจากหน้าผากของท่าน ท่านได้ดึงมุมหนึ่งของเสื้อขึ้นมาเพื่อเช็ดเลือดจากหน้าผากของท่าน ทันใดนั้นลูกธนูสามแฉกก็พุ่งเข้าสู่หัวใจของท่าน ท่านอิมามฮุเซน (อ.) กล่าวว่า :

بسم الله و بالله و علی ملة رسول الله

          "ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ และด้วยการช่วยเหลือของอัลลอฮ์ และบนแนวทางของศาสนทูตของอัลลอฮ์"

    จากนั้นท่านก็เงยหน้าขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วกล่าวว่า :

 إِلَهِی أَنْتَ تَعْلَمُ أَنَّهُمْ يَقْتُلُونَ رَجُلًا لَيْسَ عَلَى وَجْهِ الْأَرْضِ ابْنُ بِنْتِ نَبِيٍّ غَيْرُهُ

          "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า! พระองค์ทรงทราบดีว่าพวกเขาได้ฆ่าชายผู้ซึ่งไม่มีบุตรชายของธิดาของท่านศาสดาคนใดในโลกนอกจากเขา"

    จากนั้นท่านก็ดึงลูกธนูออกมาจากด้านหลัง แล้วเลือดก็ไหลออกมาเหมือนรางน้ำ อิมามฮุเซน (อ.) ได้ใช้มือรองที่บาดแผล เมื่อมันเต็มไปด้วยเลือด ท่านก็สาดมันขึ้นไปบนฟ้า และไม่กลับลงมาแม้แต่หยดเดียว แล้วท่านก็เอามือไปแตะที่บาดแผลอีกครั้ง เมื่อมันเต็มไปด้วยเลือด ท่านก็เอามันไปลูบลงบนศีรษะ ใบหน้า และเคราของเขา แล้วกล่าวว่า : ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ฉันจะกลับไปพบกับมุฮัมมัด ตาของฉันในสภาพที่เปื้อนไปด้วยเลือดเช่นนี้ และฉันจะกล่าวกับท่านว่า: โอ้ ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ "คนนั้นและคนนั้น" ได้ฆ่าฉัน" (22)

    ในเวลานี้เอง ชิมร์ ได้ตะโกนขึ้นท่ามกลางกองทหารของเขา : “พวกเจ้ายืนเฉยอยู่ทำไม? พวกเจ้าจะรีรออะไรเกี่ยวกับเขา? บรรดาลูกธนูได้ทำให้เขาล้มลงแล้ว จงโจมตีเขา ขอแม่ของพวกเจ้านั่งไว้ทุกข์ต่อพวกเจ้า” ด้วยกับคำสั่งนี้ พวกเขาได้โจมตีไปยังท่านอิหม่มาม (อ.) จากทุกทิศทุกทาง คนแรกที่จู่โจมเข้าไปหาท่านอิมามฮุเซน (อ.) คือ ซัรอะฮ์ บิน ชะรีก ตะมีมี ซึ่งเขาได้ฟันลงบนมือซ้ายของท่านอิมาม (อ.) อัมร์ บิน ฏ็อลฮะฮ์ ญุอ์ฟี ก็ฟันจากด้านหลังลงบนหน้าฝากของท่านอิมามฮย่างแรง ซอและห์ บิน วะฮับ ก็แทงเข้าที่สีข้างของท่านอิมามด้วยหอก ผลจากบาดแผลต่างๆ และการถูกฟาดฟันเหล่านี้ ท่านอิมามฮุเซน (อ.) ได้ตกลงจากหลังม้าลงสู่พื้น

    จากนั้นพวกเขาก็กระจัดกระจายออกไปจากรอบๆ ท่านอิมาม ในขณะที่บางครั้งท่านก็ล้มคว่ำหน้าลงกับพื้นและบางครั้งก็ลุกขึ้น ในสภาพเช่นนี้เองที่ซินาน บินอะนัสได้เข้ามาใกล้ท่านและได้แทงท่านด้วยหอก ส่งผลให้ท่านอิมามล้มลงกับพื้น ซินานได้กล่าวกับเคาลี บิน ยะซีด อัศบะฮี ว่า : “จงแยกศีรษะออกจากร่างกายของเขา” เคาลีต้องการที่จะทำเช่นนั้น แต่เขารู้สึกอ่อนแอและร่างกายของเขาสั่นเทา ซินานกล่าวกับเขาว่า : “ขออัลลอฮ์ทำให้แขนของเจ้าอ่อนแอและตัดมือทั้งสองของเจ้าออกจากร่างกาย” จากนั้นซินาน บิน อะนัส อะยาดี (ขออัลลอฮ์ทรงสาปแช่งเขา) ก็กระโดดลงจากหลังม้าและจับเคราของท่านอิมามฮุเซน (อ.) แล้วฟันคอของท่านด้วยดาบ และกล่าวว่า : “ขอสาบานต่ออัลลอฮ์! ฉันจะแยกศีรษะของเจ้าออกจากร่างกายของเจ้า แม้ฉันรู้ว่าเจ้าเป็นบุตรของศาสนทูตของอัลลอฮ์ และเจ้าเป็นคนที่ประเสริฐที่สุดในแง่ของบิดาและมารดาก็ตาม”  และเขาก็ได้ตัดศีรษะของอิท่านอิมามและมอบให้แก่เคาลี ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้มีบาดแผลมากมายที่ท่านได้รับจากคมหอกคมดาบอยู่แล้ว (23)

    ในบทซิยารัต นาฮิยะฮ์ มุก็อดดะซะฮ์ ได้กล่าวว่า : "เมื่อบรรดาสตรีเห็นม้าของท่านไม่มีผู้ขี่ อานพลิกคว่ำ และแผงคอของม้าเต็มไปด้วยเลือด พวกเขาก็ออกมาจากกระโจม พร้อมกับ... ตบตีใบหน้าของตนเองและดึงผ้าปิดหน้า (นิกอบ) ออกและร่ำไห้คร่ำครวญด้วยเสียงดัง และต่างพากันรีบรุดไปยังสถานที่ถูกสังหาร (ของท่านอิมามฮุเซน (อ.)) ในเวลานั้นเอง ชิมร์ ผู้ถูกสาปแช่งได้นั่งลงบนหน้าอกที่ท่าน มันจับเคราของท่านไว้ในมือข้างหนึ่ง และได้ตัดศีรษะของท่านด้วยกริชด้วยมืออีกข้างหนึ่ง” (24)

    ท่านอิมามซัจญาด (อ.) ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ขณะที่ท่านถูกควบคุมตัวเป็นเชลยอยู่ในหมู่ชาวกูฟะฮ์ว่า :

انا علی بن الحسین المذبوح بشط الفرات، من غیر ذحل ولا ترات، انا ابن من انتهک حریمه، وسلب نعیمه، وانتهب ماله، و سبی عیاله، انا ابن مَن قُتل صبرا

          “ฉันคืออาลี บุตรชายของฮุเซน ผู้ซึ่งถูกตัดศีรษะที่แม่น้ำยูเฟรตีส (อย่างอธรรม) โดยไม่มี (ความผิดอันเกิดจาก) การหลั่งเลือดผู้ใดมาก่อน ฉันเป็นลูกชายของผู้ที่สิ่งหวงห้าม (และเกียรติ) ของเขาละเมิดและทรัพย์สินของเขาถูกปล้นสะดมและครอบครัวของเขาถูกจับเป็นฌชลย ฉันเป็นลูกของคนที่ถูกฆ่าด้วยการทรมาน” (25)


แหล่งที่มา :

(1). อัล อิรชาด, เชคมุฟีด, เล่ม 2, หน้า 94

(2). อัลกุรอานบทอัล อะห์ซาบ โองการที่ 33

(3). มุสตัดร็อก อะลัซซอฮีฮัยน์, ฮากิม นัยซาบุรี, เล่ม 3, หน้า 204

(4). มีซานุลอิอ์ติดาล, ซะฮะบี, เล่ม 2, หน้า 618

(5). คอซออิศ อมีรุลมุอ์มินีน (อ.), นะซาอี, หน้า 44

(6). ลิซานุลมีซาน, อิบนุฮะญัร อัซกอลานี, เล่ม 5, หน้า 62

(7). ซอเฮี๊ยะฮ์ ติรมีซี,  5, หน้า 660

(8). อัล อิรชาด, เชคมุฟีด, เล่ม 2, หน้า 91-94

(9). บิฮารุลอันวาร, อัลลามะฮ์มัจญ์ลิซี, เล่ม 45, หน้า 3     

(10). บิฮารุลอันวาร, อัลลามะฮ์มัจญ์ลิซี, เล่ม 45, หน้า 51

(11). อัล มันฮูฟ, ซัยยิดอิบนุฏอวูซ, หน้า 174

(12). อัล มะนากิบ , อิบนุชะฮ์รอชูบ, เล่ม 3, หน้า 257

(13). ตารีค อิบนุอซากิร, เล่ม 14, หน้า 221

(14). อัล ฟุตูห์, อิบนุ อะอ์ซัม, เล่ม 5, หน้า 116

(15). อัล ฟุตูห์, อิบนุ อะอ์ซัม, เล่ม 5, หน้า 116-117

(16). มักตัล อัล ฮุซัยน์ (อ.), ควารัซมี, เล่ม 2, หน้า 38

(17). อัล อะมาลี, เชคซอดูก, หน้า 226

(18). ตารีค ฏอบารี, เล่ม 5, หน้า 452

(19). อัล อิรชาด, เชคมุฟีด, เล่ม 2, หน้า 111

(20). อัล มันฮูฟ, ซัยยิดอิบนุฏอวูซ, หน้า 171

(21). อันซาบุลอัชรอฟ, บะลาซะรี,  เล่ม 3, หน้า 203

(22). มักตัล อัล ฮุซัยน์ (อ.), ควารัซมี, เล่ม 2, หน้า 39

(23). ตารีค ฏอบารี, เล่ม 5, หน้า 453

(24). บิฮารุลอันวาร, อัลลามะฮ์มัจญ์ลิซี, เล่ม 110, หน้า 322

(25). อัล มันฮูฟ, ซัยยิดอิบนุฏอวูซ, หน้า 199


บทความโดย : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ

Copyright © 2024 SAHIBZAMAN.NET- สื่อเรียนรู้สำหรับอิสระชนคนรุ่นใหม่


 

ผู้เยี่ยมชมอยู่ขณะนี้

มี 741 ผู้มาเยือน และ ไม่มีสมาชิกออนไลน์ ออนไลน์

21506008
Today
Yesterday
This Week
Last Week
This Month
Last Month
All days
14237
45608
223510
20904429
990545
2496676
21506008

พฤ 19 ก.ย. 2024 :: 08:56:42