ความปีติยินดีต่อการถือกำเนิดบุตรี

ความปีติยินดีต่อการถือกำเนิดบุตรี

     ขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณีต่างๆ ที่ผิดพลาดของญาฮิลียะฮ์ (ยุคมืด) ยังไม่สามารถลบเลือนออกไปได้อย่างหมดสิ้นจากมวลมุสลิมในยุคเริ่มแรกของอิสลาม และจากประชาชนกลุ่มหนึ่งทั้งๆ ที่เป็นมุสลิมแล้วก็ตาม เขม่าทางความนึกคิดและประเพณีต่างๆ แบบญาฮิลียะฮ์ (ความงมงาย) ยังคงหลงเหลืออยู่ในสมองของพวกเขา และการที่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ให้เด็กผู้หญิงนั่งลงบนตักของท่าน และแสดงออกด้วยความรักความเอ็นดูต่อเด็กผู้หญิง พวกเขาจะแสดงความรู้สึกไม่พอใจอย่างรุนแรง

      คัมภีร์อัลกุรอานได้เปิดเผยให้เห็นความคิดและความเชื่อถือต่างๆ ของญาฮิลียะฮ์ ในยุคญาฮิลียะฮ์ (ยุคมืด) พวกเขาจะฝังทารกผู้หญิงทั้งเป็นและพร้อมที่จะยอมรับความอับอายต่างๆ ทุกรูปแบบ แต่พวกเขากลับถือว่าความน่าอับอายของการมีบุตรีนั้นคือความหายนะอันยิ่งใหญ่ ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถแบกรับมันได้ คราใดก็ตามที่พวกเขาได้รู้ข่าวการถือกำเนิดบุตรีคนหนึ่งของตน พวกเขาจะมีใบหน้าหม่นหมองและดำสนิทซึ่งเกิดจากความโกรธจัด

وَإِذَا بُشِّرَ أَحَدُهُم بِالْأُنثَىٰ ظَلَّ وَجْهُهُ مُسْوَدًّا وَهُوَ كَظِيمٌ

      “และเมื่อคนใดจากพวกเขาได้รับแจ้งข่าว (การกำเนิด) ของลูกผู้หญิง ใบหน้าของเขาก็จะหมองคล้ำ ในสภาพที่เขาเป็นผู้โกรธกริ้ว (1)

      และจะหนีหน้าออกจากผู้คนเนื่องจากความอับอาย

يَتَوَارَىٰ مِنَ الْقَوْمِ مِن سُوءِ مَا بُشِّرَ بِهِ ۚ

      “เขาจะหลบซ่อนตัวจากหมู่ชนเนื่องจากความเลวร้ายของสิ่งที่เขาได้รับแจ้งข่าว” (2)

      ร่องรอยต่างๆ ของวัฒนธรรมแบบญาฮิลียะฮ์ยังคงปรากฏอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของประชาชน ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ได้ยืนหยัดอย่างมั่นคงและแข็งแกร่ง เพื่อทำลายล้างความรู้สึกนึกคิดที่ไร้เหตุผลและจารีตประเพณีต่างๆ แบบญาฮิลียะฮ์นี้ และได้ต่อสู้เพื่อขจัดมันออกไปให้หมดสิ้น

      วันหนึ่งประชาชนได้แจ้งข่าวแก่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ถึงลูกสาวคนหนึ่งที่ได้ถือกำเนิดขึ้นมา ในสถานการณ์ดังกล่าวท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้มองดูใบหน้าของบรรดาสาวก ใบหน้าของพวกเขาทั้งหมดบูดบึ้ง ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้กล่าวกับพวกเขาว่า “อะไรเกิดขึ้นกับพวกท่านกระนั้นหรือ ทำไมพวกท่านจึงแสดงออกถึงความไม่พอใจ เด็กผู้หญิงคนนี้คือดอกไม้ที่หอมหวานซึ่งฉันจะได้สัมผัสกลิ่นไอของเธอ และริษกี (ปัจจัยดำรงชีพ) ของเธอก็อยู่กับอัลลอฮ์” (3)

      จริยธรรมอันสะอาดบริสุทธิ์ของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) จะต้องเป็นแบบอย่างสำหรับบิดาและมารดาทั้งมวลของสังคมอิสลาม พวกเขาจะต้องรักบรรดาบุตรีของตนเอง และแสดงออกต่อพวกเธอด้วยความเมตตาและความเอื้ออาทร อย่าได้ปล่อยให้ความรู้สึกนึกคิดที่ผุเปื่อยแบบญาฮิลียะฮ์เข้ามาสัมผัสพวกเขา จนทำให้รู้สึกเศร้าเสียใจจากการมีบุตรี และทำให้เด็กผู้หญิงทั้งหลายต้องได้รับความอับเฉาและรู้สึกถึงปมด้อยในความเป็นลูกผู้หญิงของตนเอง

คำตอบอันหนักแน่นของท่านอิมามซอดิก (อ.)

      เด็กผู้หญิงในวันนี้คือมารดาในวันหน้า และมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ผู้มีเกียรติ คนดีมีคุณธรรม และผู้จรรโลงสร้างอารยธรรมต่างๆ ของมวลมนุษย์ได้ปรากฏขึ้นมาและไปถึงยังระดับอันสูงส่งต่างๆ แห่งความสมบูรณ์ ภายใต้การอบรมเลี้ยงดูและความจำเริญ (บะรอกัต) แห่งการมีของเหล่ามารดาผู้สะอาดบริสุทธิ์และเปรี่ยมไปด้วยสติปัญญา จากจุดนี้เองทำให้ประจักษ์ได้ถึงบทบาทอันสำคัญของบรรดาเด็กผู้หญิงในอนาคตได้เป็นอย่างดี

      วันหนึ่งชายผู้หนึ่งได้ให้กำเนิดบุตรี ท่านอิมามซอดิก (อ.) ได้พบเห็นชายผู้นั้นในสภาพที่โกรธกริ้วอย่างรุนแรง ท่านได้กล่าวว่า “เจ้าคิดอะไรกระนั้นหรือ หากพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงดลวะห์ยูมายังเจ้า และทรงตรัสกับเจ้าว่า จะให้ข้าเลือกให้แก่เจ้าหรือตัวเจ้าจะเลือกเอง เจ้าจะกล่าวอย่างไร”

      ชายผู้นั้นกล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะตอบว่า ข้าพระองค์ขอน้อมรับด้วยความยินดีต่อทุกสิ่งที่พระองค์จะทรงเลือกให้แก่ข้าพระองค์”

      ท่านอิมาม (อ.) ได้กล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้าทรงเลือกบุตรีผู้นี้ให้แก่เจ้าแล้ว” หลังจากนั้นท่านอิมาม (อ.) ได้กล่าวว่า “เด็กชายคนนั้นผู้ซึ่งถูกสังหารโดยบุรุษผู้ทรงความรู้ (ท่านคิเฎร) ในขณะเดินทางร่วมกับศาสดามูซา (อ.) โดยที่เรื่องราวของเขาได้ปรากฏอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอานว่า

فَأَرَدْنَا أَن يُبْدِلَهُمَا رَبُّهُمَا خَيْرًا مِّنْهُ زَكَاةً وَأَقْرَبَ رُحْمًا

      “ดังนั้นเราปรารถนาที่พระผู้เป็นเจ้าของทั้งสองจะทรงเปลี่ยนบุตรที่ดีกว่าให้แก่ทั้งสองในด้านความบริสุทธิ์ และเป็นผู้ใกล้ชิดต่อความเมตตา (ของพระองค์) มากกว่า (4)

      และแล้วพระองค์ได้ทรงมอบบุตรีคนหนึ่งให้แก่บุคคลทั้งสองเพื่อทดแทนบุตรชายตัวน้อยผู้นั้น โดยที่ (จากเชื้อสายของบุตรีผู้นี้) ศาสดาเจ็ดสิบท่านได้ถือกำเนิดขึ้นมา (5)

      เกี่ยวกับเรื่องนี้มีคำรายงาน (ริวายะฮ์) จำนวนมากได้มาถึงพวกเรา ท่านมัรฮูม เชดฮุรุลอามิลี เจ้าของหนังสือ “วะซาอิลุชชีอะฮ์” ได้แบ่งมันออกเป็นหลายหมวดหมู่ ซึ่งเราจะขอบ่งชี้ถึงบางส่วนเกี่ยวกับเรื่องนี้

- การสร้างความปีติยินดีให้แก่บุตรสาว

      ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ได้กล่าวว่า “ผู้ใดก็ตามที่ไปยังตลาดและได้ซื้อของฝากบางอย่างเพื่อนำไปให้ครอบครัวของตนนั้น เปรียบได้ดั่งผู้ที่นำพาซอดาเกาะฮ์ (ทานบริจาค) ไปมอบให้แก่บรรดาผู้ขัดสน และเมื่อเขาประสงค์ที่จะมอบของฝากนั้นให้แก่คนในครอบครัว เขาจงเริ่มด้วยการมอบให้แก่ลูกสาวก่อนลูกชาย เพราะแท้จริงผู้ใดก็ตามที่ทำให้ลูกสาวของตนปีติยินดีนั้น ประดุจดั่งเขาได้ปลดปล่อยทาสคนหนึ่งจากลูกหลานของอิสมาอีล (อ.) และผู้ใดก็ตามที่ทำให้บุตรคนหนึ่งของตนปีติยินดี ประดั่งเขาได้ร้องไห้เนื่องจากความเกรงกลัวต่ออัลลอฮ์ และผู้ใดก็ตามที่ร้องไห้เนื่องจากความเกรงกลัวอัลลอฮ์ อัลลอฮ์จะทรงทำให้เขาเข้าสู่สรวงสวรรค์อันเปรี่ยมไปด้วยความสุขสบาย” (6)

- รางวัลตอบแทนในการทำดีต่อบุตรสาว

      มีรายงานจากท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) ซึ่งท่านกล่าวว่า

“ผู้ใดก็ตามที่มีน้องสาวหรือลูกสาวสองคน และเขาได้ทำดีต่อพวกเธอ ฉันและเขาผู้นั้นจะอยู่เคียงข้างกันในสรวงสวรรค์เสมือนดังสองสิ่งนี้” ท่านได้ยกมือให้ดูที่นิ้วชี้และนิ้วกลางของท่าน (7)

- การเลี้ยงดูบุตรสาวคือโล่ป้องกันจากไฟนรก

      ท่านอิบนุมัสอูด ได้อ้างรายงานจากท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ซึ่งกล่าวว่า “ผู้ใดที่มีลูกสาวคนหนึ่ง แล้วเขาได้อบรมเลี้ยงดูเธอ ทำให้เธอมีมารยาทที่ดีงาม และอบรมสั่งสอนเธออย่างดีเยี่ยม อีกทั้งให้ความสะดวกสบายแก่เธอจากเนี๊ยะอ์มัต (ความโปรดปราน) ต่างๆ ที่อัลลอฮ์ได้ทรงมอบให้แก่เขา สิ่งนั้นจะเป็นสื่อป้องกันเขาจากไฟนรก” (8)

- การให้เกียรติต่อบุตรสาว

      ท่านอิบนุอับบาส ได้เล่าว่า ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ได้กล่าวว่า “ผู้ใดก็ตามที่มีลูกสาว และเขาไม่เคยทำร้ายเธอ ไม่ดูถูกเหยียดหยามเธอ และไม่ให้ความสำคัญต่อลูกชายมากกว่าเธอ อัลลอฮ์จะทรงทำให้เขาเข้าสู่สรวงสวรรค์” (9)

- ความปรารถนาที่จะให้ความตายเกิดขึ้นกับบุตรสาว

      ท่านอิมามซอดิก (อ.) ได้กล่าวว่า “ผู้ใดก็ตามที่ปรารถนาที่จะให้ความตายเกิดขึ้นกับพวกเธอ (ลูกสาวของตน) เขาจะถูกห้ามจากผลรางวัลของพวกเธอ และเขาจะได้พบกับอัลลอฮ์ในสภาพของผู้ที่ละเมิดฝ่าฝืน” (10)


เชิงอรรถ

  1. อันกุรอานบทอันนะห์ลุ โองการที่ 58
  2. อัลกุรอานบทอันนะห์ลุ โองการที่ 59
  3. มะการิมุลอัคลาก, หน้า 219
  4. อัลกุรอานบทอัลกะฮ์ฟุ โองการที่ 81
  5. อุดดะตุดดาอี, หน้า 80
  6. มะการิมุลอัคลาก, หน้า 221
  7. มุสตตัดร่อกุลวะซาอิล, เล่ม 15, หน้า 118 ; กัลซุลอุมมาล, เล่มที่ 16, หน้า 448
  8. กัลซุลอุมมาล, เล่มที่ 16, หน้า 452
  9. กัลซุลอุมมาล, เล่มที่ 16, หน้า 447 ; กิตาบุลอิยาล, เล่มที่ 1, หน้า 234 ; มุสตัดร่อกุลวะซาอิล, เล่มที่ 15, หน้า 118

ที่มา : หนังสือ “สิทธิของบุตรในทัศนะของอิสลาม”

ผู้เขียน : มุฮัมมัดญะวาด มุเราวิจญ์ อัฏฏอบะซี

แปลและเรียบเรียง : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ