เลือดอิมามฮุเซน (อ.) ปกป้องอิสลามจากการถูกบิดเบือน
Powered by OrdaSoft!
No result.

เลือดอิมามฮุเซน (อ.) ปกป้องอิสลามจากการถูกบิดเบือน

บนีอุมัยยะฮ์คือหนึ่งในบรรดาผู้ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและความบิดเบือนมากมายขึ้นในศาสนาอิสลาม และหากกระบวนการนี้ดำเนินต่อไป อิสลามจะถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง ท่านอิมามฮุเซน (อ.) จึงจำเป็นต้องยืนหยัดขึ้นเผชิญหน้ากับการปกครองของยะซีด แม้ต้องแลกด้วยชีวิตเพื่อปกป้องอิสลามจากการบิดเบือนของบนีอุมัยยะฮ์

       หลังจากการเสียชีวิตของบรรดาศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า ศาสนาและบทบัญญัติที่พวกท่านนำมาได้ถูกคุกคามจากการบิดเบือนมาโดยตลอด ดังที่ได้ถูกกล่าวไว้อย่างชัดเจนในคัมภีร์อัลกุรอานว่า คัมภีร์เตาร๊อต (โตราห์) และคัมภีร์อิลญีล (ไบเบิล) ได้ถูกบิดเบือนโดยชาวยิวและชาวคริสต์ และคำสอนบางอย่างของศาสดามูซา (โมเสส) และศาสดาอีซา (เยซู) ได้ถูกลบออกไป (1)

ไม่มีการบิดเบือนในศาสนาสุดท้าย

       อิสลามเป็นศาสนาสุดท้ายของพระผู้เป็นเจ้าและอัลกุรอานเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เล่มสุดท้ายที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานมาเพื่อชี้นำมนุษยชาติ การบิดเบือนในศาสนาสุดท้ายนั้นจะเป็นสาเหตุทำให้ผู้คนหลงผิดและผู้แสวงหาสัจธรรมจะไม่ได้รับการชี้นำตลอดไป ด้วยเหตุนี้พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสูงส่งจึงได้จัดเตรียมกลไกและแบบแผนบางอย่างไว้เพื่อรักษาศาสนาของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ให้อยู่ในความปลอดภัย

       บรรดาคัมภีร์แห่งฟากฟ้าต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากการบิดเบือนสองประเภทตลอดมา หนึ่งคือการบิดเบือนทางรูปคำและอีกประการหนึ่งคือการบิดเบือนทางความหมาย การบิดเบือนทางรูปคำ หมายถึง การเปลี่ยนคำศัพท์และถ้อยคำต่าง ๆ และการบิดเบือนทางความหมาย หมายถึง การตีความความหมายของโองการต่าง ๆ อย่างผิด ๆ

      ด้วยเหตุผลหลายประการที่คัมภีร์อัลกุรอานได้รับการพิทักษ์รักษาไว้โดยพระผู้เป็นเจ้า และจะไม่มีการบิดเบือนทางรูปคำเกิดขึ้น พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสเกี่ยวกับการบิดเบือนคัมภีร์อัลกุรอานว่า :

إِنَّا نَحْنُ نَزَّلْنَا الذِّكْرَ وَإِنَّا لَهُ لَحَافِظُونَ

“แท้จริงเราได้ประทานอัลกุรอานลงมา และแน่นอนว่าเราเป็นผู้พิทักษ์มัน (จากการบิดเบือนและการถูกทำลาย)” (2)

       บนพื้นฐานของโองการนี้จะไม่มีการบิดเบือนทางรูปคำใด ๆ เกิดขึ้นในคัมภีร์อัลกุรอาน (3)

อะฮ์ลุลบัยติ์คือผู้ป้องกันการบิดเบือนทางความหมายของบทบัญญัติสุดท้ายของพระผู้เป็นเจ้า

       ตราบชั่วเวลาที่ศาสดาของอิสลามยังอยู่ท่ามกลางประชาชนนั้น ท่านได้คอยแก้ไขการตีความและความเข้าใจที่ผิดพลาดเกี่ยวกับคัมภีร์อัลกุรอาน และไม่มีใครกล้าที่จะนำเสนอความหมายที่ผิดๆ ของคัมภีร์อัลกุรอานลบล้างคำพูดของท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) ได้

       ท่านศาสดาซึ่งรู้เป็นอย่างดีถึงอันตรายและภัยคุกคามของการบิดเบือนดังกล่าว ท่านจึงได้แนะนำอะฮ์ลุลบัยติ์ (อ.) ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในนามมุฟัซซิรีน (ผู้อรรถาธิบาย) ที่แท้จริงของคัมภีร์อัลกุอานเพียงหนึ่งเดียว และได้วางทั้งสองไว้เคียงคู่กัน ท่านศาสนทูต (ซ็อลฯ) ได้กล่าวใน "ฮะดีษอัษษะกอลัยน์" ว่า :

“ฉันคือผู้ละทิ้งสิ่งสำคัญสองสิ่งไว้ในหมู่พวกท่าน คือคัมภีร์ของอัลลอฮ์และเชื้อสายของฉัน ผู้เป็นอะฮ์ลุลบัยติ์ของฉัน หากพวกท่านยึดมั่นทั้งสองสิ่งนี้ไว้ พวกท่านจะไม่หลงทางตลอดไป" (4)

      ตามการชี้ชัดของฮะดีษบทนี้ ใครก็ตามที่ไปยังคัมภึร์อัลกุรอานโดยผ่านเส้นทางอื่นที่ไม่ใช่อะห์ลุลบัยติ์ (อ.) จะไม่มีชะตากรรมเป็นอย่างอื่น นอกจากการหลงออกจากทางนำ ตัวอย่างของผู้คนเหล่านี้ก็คือ พวกคอวาริจญ์ที่ยึดถือโองการที่ว่า «إِنِ الْحُكْمُ إِلَّا لِلَّهِ» "อำนาจการปกครองและการตัดสินเป็นของอัลลอฮ์เพียงเท่านั้น!" (5) แล้วพวกเขาได้ยืนขึ้นเผชิญหน้าท่านอิมามอะลี (อ.)

      ท่านอิมามอะลี (อ.) ถือว่า คำพูดของพวกเขาเป็นตัวอย่างของการบิดเบือนคัมภีร์อัลกุรอานในทางความหมาย โดยกล่าวว่า :

کَلِمَهُ حَقٍّ یُرَادُ بِهَا بَاطِلٌ

"คำพูดสัจธรรมที่ถูกประสงค์ความหมายที่เป็นเท็จ" (6)

      จุดประสงค์ของโองการนี้ไม่ใช่ว่าพระผู้เป็นเจ้าได้อธิบายบทบัญญัติ (อะห์กาม) ทั้งหมดไว้แล้วและท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และบรรดาอิมาม (อ.) ไม่มีสิทธิ์ในการปกครอง แต่จุดประสงค์ก็คือ ทุกการตัดสินและการปกครองจำเป็นต้องผ่านจากช่องทาง (มัจญ์รอ) แห่งพระเจ้า ดังเช่นคำสั่งทางศาสนาบางอย่างจะเห็นได้ว่า ไม่ได้ถูกกล่าวถึงในคัมภีร์อัลกุรอาน แต่ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้กล่าวมันไว้

     กลุ่มคอวาริจญ์ไม่สนใจต่ออะฮ์ลุลบัยติ์ (อ.) และได้อ้างอิงคัมภีร์อัลกุรอานด้วยการตีความตามความเห็นของตนเองซึ่งไม่สอดคล้องใด ๆ กับคำสอนของวะห์ยู (วิวรณ์) และนี่คือสาเหตุของความหลงผิดและความพินาศของพวกเขา

เลือดของซัยยิดุชชุฮะดาอ์ (อ.) สื่อแห่งการรอดพ้นของประชาชาติอิสลามจากการบิดเบือนครั้งใหญ่ของบนีอุมัยยะฮ์

      บนีอุมัยยะฮ์ได้บิดเบือนและเปลี่ยนแปลงอิสลามมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ ยะซีดคอลีฟะฮ์คนที่สองของราชวงค์อุมัยยะฮ์ในขณะที่ถือว่าตัวเองเป็นผู้สืบทอดของท่านศาสดานั้นนอกจากจะดื่มสุราทั้งโดยเปิดเผยและซ่อนเร้นแล้ว ยังละทิ้งการนมาซอีกด้วย (7)

      หลังจากที่ยะซีดได้ขึ้นสู่อำนาจการปกครอง ท่านมามฮุเซน (อ.) ในฐานะอิมาม (ผู้นำ) ท่านที่สามและผู้พิทักษ์รักษาศาสนาอิสลามสืบต่อจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้ยกธงแห่งการต่อต้านยะซีดและการช่วยเหลือศาสนาอิสลาม ท่านอิมาม (อ.) ถือว่าการปกครองของยะซีดนั้น หมายถึงการทำลายล้างศาสนาอิสลามอย่างสมบูรณ์ โดยที่ท่านกล่าวว่า :

على الإِسلام السَّلام، إذا بُلِيَت الأمة بِراعٍ مثل يزيد

"อิสลามต้องพบกับจุดจบเมื่อประชาชาติได้ถูกทดสอบด้วยผู้ปกครองเยี่ยงยะซีด" (8)

       การปกครองของยะซีดนี่เองที่ทำให้ท่านอิมามฮุเซน (อ.) ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลุกขึ้นต่อสู้กับเขา สำหรับยะซีดนั้น ทั้งการประนีประนอมและการผ่อนปรนไม่อาจเป็นไปได้อีกแล้ว บนีอุมัยยะฮ์กำลังถอนรากถอนโคนศาสนาของท่านศาสดาและมีเจตนาที่จะทำลายซุนนะฮ์ (แบบฉบับ) ของท่านศาสดาและสร้างอุตริกรรมมากมายขึ้นมาแทนที่

       ในจดหมายฉบับหนึ่งถึงชาวบัสเราะฮ์ ท่านอิมาม (อ.) ได้กล่าวว่า :

فَاِنَّ السُنَّةَ قَدْ أُمیتَتْ، وَ إِنَّ الْبِدْعَةَ قَدْ أُحْیِیَتْ

"เพราแท้จริงซุนนะฮ์ (แบบฉบับของท่านศาสดา) ได้ถูกทำลายและบิดอะฮ์ (อุตริกรรม) ได้ถูกทำให้มีชีวิตขึ้นมาใหม่"(9)

       ก่อนหน้านั้น บรรดาผู้ปกครองยังคงระมัดระวังและปฏิบัติตามบทบัญญัติของอิสลามในระดับหนึ่งและไม่ได้กระทำความเสื่อมทรามอย่างเปิดเผย แต่คนกลุ่มนี้ (หมายถึงบนีอุมัยยะฮ์) ได้ละเมิดบทบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าในที่เปิดเผยและที่ลับตาประชาชน ท่านซัยยิดุชชุฮะดาอ์ (อ.) กล่าวกับฟารัซดักในระหว่างเสันทางสู่กัรบะลาอ์ว่า :

إنَّ هوُلاءِ قومٌ لَزِمُوا طاعَةَ الشَّیطانِ، و تَرَکوُا طاعَةَ الرَّحْمانِ، و أظْهروُا الفسادَ فی الأرضِ، وَ أبْطِلُوا الحُدُودَ، وَ شَرِبُوا الخُمُورَ، وَ اسْتَأثَروُا فی أموالِ الْفُقَراءِ و المَساکینَ

“กลุ่มชนเหล่านั้นยึดเอาการเชื่อฟังมารร้าย ละทิ้งการเชื่อฟังพระเจ้าผู้ทรงเมตตา สร้างความเสื่อมทรามในแผ่นดินอย่างเปิดเผยและทำลายบทบัญญัติ (ของพระเจ้า) ดื่มสุราเมไร และยึดเอาทรัพย์สินของคนยากจนและคนขัดสนเป็นสมบัติของพวกเขาเอง” (10)

       ด้วยเหตุนี้เอง เพื่อที่รักษาศาสนาของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ตาของท่านไว้ ท่านอิมาม (อ.) จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องปฏิเสธการให้สัตยาบันต่อยะซีดและยืนหยัดต่อสู้กับเขาแม้จะต้องแลกด้วยชีวิต เป็นที่น่าเศร้าใจที่บางคนวิพากษ์วิจารณ์ท่านอิมามฮุเซน (อ.) โดยปราศจากการคำนึงถึงสถานการณ์ของเวลาและความเข้าใจที่ผิดๆ เกี่ยวกับบนีอุมัยยะฮ์ที่ว่าเหตุใดท่านจึงยืนหยัดต่อต้านรัฐบาลนี้และไม่ยอมให้สัตยาบันต่อพวกเขา เป็นที่ชัดเจนว่าการที่ท่านอิมาม (อ.) จะยอมรับการเป็นค่อลีฟะฮ์ของยะซีดไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม นั่นย่อมหมายถึงการทำลายล้างและการสิ้นสลายของอิสลาม และท่านอิมามจะไม่มีวันยอมรับสิ่งนี้อย่างแน่นอน


ที่มา :

1. อัลกุรอานบทอันนิซาอ์ โองการที่ 46

2. อัลกุรอานบทอัลฮิจร์ โองการที่ 9

3. ตัฟซีร นะมูเนะฮ์, เล่ม 11, หน้า 17 และ 18

4. สุนันติรมิซี, เล่ม 5, หน้า 663

5. อัลกุรอานบทอัลอันอาม โองการที่ 57

6. นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ (ซุบฮี ซอลิห์), คุฏบะฮ์ 40, หน้า 82

7. อัลบิดายะฮ์ วันนิฮายะฮ์, เล่ม 8, หน้า 259; ซีร อะอ์ลามิลนับลาอ์, เล่ม 5, หน้า 6

8. บิฮารุลอันวาร, เล่ม 44, หน้า 326

9. บิฮารุลอันวาร, เล่ม 44, หน้า 340

10. ตัสกิร่อตุลค่อวาศ, หน้า 217 และ 218


บทความ : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ

Copyright © 2022 SAHIBZAMAN.NET- สื่อเรียนรู้สำหรับอิสระชนคนรุ่นใหม่

ผู้เยี่ยมชมอยู่ขณะนี้

มี 639 ผู้มาเยือน และ ไม่มีสมาชิกออนไลน์ ออนไลน์

9877999
Today
Yesterday
This Week
Last Week
This Month
Last Month
All days
17127
66240
353544
9045061
1729533
2060970
9877999

ศ 26 เม.ย. 2024 :: 06:51:01