“ความหมายในการปฏิวัติของเราก็คือ ชนชาติทั้งมวลจงตื่นขึ้น และรัฐบาลทั้งมวลจงตื่นขึ้น จงปลดปล่อยตัวเองออกจากความทุกข์ยากที่มีอยู่ ออกจากการตกอยู่ภายใต้การครอบงำที่เป็นอยู่นี้ ออกจากการที่แหล่งทรัพยากรธรรมชาติของพวกเขาที่กำลังจะหมดไปกับสายลม และออกจากการดำเนินชีวิตที่ยากจนค้นแค้นของพวกเขา” (ซอฮีเฟเย่ อิมาม เล่มที่ 13 หน้า 281)
บางทีการปฏิวัติอิสลามอันรุ่งโรจน์ในอิหร่านที่บางคนอาจจะคิดว่า รูปแบบใหม่ของระบอบแห่งอิสลามนี้ วันหนึ่งจะเกิดขึ้นนอกเขตแดนของอิหร่านด้วยเช่นกัน ท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) ผู้วางรากฐานการปฏิวัติอิสลาม ด้วยความรอบรู้ที่ท่านมีเกี่ยวกับอิสลามและบทบัญญัติต่างๆ ที่ครอบคลุมของมัน ท่านมองเห็นขอบฟ้าแห่งการสร้างประชาชาติอิสลาม บนพื้นฐานดังกล่าวนี้เองท่านจึงผลักดันทุกคนไปสู่จุดดังกล่าว : “บรรดาเจ้าหน้าที่ของเราจะต้องรู้ว่าการปฏิวัติของเราไม่ได้จำกัดยู่ในอิหร่านเพียงเท่านั้น การปฏิวัติของอิหร่าน คือจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ของโลกอิสลาม โดยการนำของท่านอิมามะฮ์ดี (อ.ญ.) ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงมีพระกรุณาธิคุณเหนือมุสลิมและชาวโลกทุกคน และทรงกำหนดให้การปรากฏกาย (ซุฮูร) และการคลี่คลายความทุกข์ยาก (ฟะร็อจญ์) ของท่านอยู่ในยุคปัจจุบัน” (ซ่อฮีเฟเย่ อิมาม เล่มที่ 21 หน้า 327)
ด้วยกับชัยชนะของการปฏิวัติอิสลาม และการบรรลุสู่ความสำเร็จของแบบอย่างแห่งระบอบอิสลามที่แท้จริง สิ่งนี้จึงกลายเป็นสาเหตุทำให้ชนชาติต่างๆ มีความโน้มน้าวมาสู่แบบอย่างนี้มากขึ้น นั่นก็คือ การพังทลายกำแพงสูงของการโฆษณาชวนเชื่อของตะวันตกและติดตามมาด้วยการทีมวลมหาประชาชนของชาติต่างๆ ได้รู้จักและคุ้นเคยกับวรรณกรรมใหม่ในด้านกรรมสิทธิ์ทางศาสนา วรรณกรรมที่เรียบง่ายและปราศจากการเสริมแต่งของการปฏิวัติอิสลามได้ส่งอิทธิพลต่อหัวใจของประชาชนผู้ถูกกดขี่ แม้ว่าจะไม่เป็นที่พึงปรารถนาสำหรับมหาอำนาจและลัทธิจักรวรรดินิยมก็ตาม
นับตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการปฏิวัติ ท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) ได้แนะนำสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านว่าเป็นผู้สนับสนุนและเป็นที่พักพิงของเสรีชนและมุสลิมทั้งมวล และท่านยังได้แนะนำอิหร่านในฐานะสถานที่ให้ความปลอดภัยสำหรับบรรดานักต่อสู้ของโลกกับระบอบเผด็จการทั้งมวล : “เราขอประกาศว่า สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านจะเป็นผู้ให้การสนับสนุนและเป็นที่พักพิงของมวลมุสลิมและเสรีชนของโลกตลอดไป ประเทศอิหร่านในฐานะป้อมปราการทางทหารที่ไม่อาจถูกทำลายลงได้นั้น จะคอยสนองตอบความต้องการของบรรดานักต่อสู้ของอิสลาม และจะช่วยแนะนำพวกเขาให้รู้จักกับหลักการด้านความเชื่อและการอบรมขัดเกลาของอิสลาม และเช่นเดียวกันนี้ จะสอนพวกเขาให้รับรู้ถึงหลักการและวิธีการต่างๆ ในการต่อสู้กับระบอบปฏิเสธ (กุฟรฺ) และตั้งภาคี (ชิรก์)” (ซ่อฮีเฟเย่ อิมาม เล่มที่ 21 หน้าท 74-100)
เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศทั้งหลายในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ซึ่งเริ่มจากประเทศตูนิเซีย และกลายเป็นขบวนการเคลื่อนไหวที่ขยายตัวออกไปทั่วทั้งภูมิภาค ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันไม่ใช่ขบวนการเคลื่อนไหวที่เพิ่งเกิดขึ้นโดยปราศจากแรงสนับสนุน ชนชาติมุสลิมทั้งหลายในภูมิภาคตะวันออกกลาง นับเป็นเวลายาวนานหลายปีมาแล้วที่ต้องอดทนต่อผู้ปกครองที่ชั่วร้ายของตน การกดขี่ การทุจริตและเผด็จการภายในประเทศ ในอีกด้านหนึ่ง การขาดการยึดมั่นต่อบทบัญญัติอิสลามของบรรดาปกครอง ในการบริหารงานสังคมและการก้มหัวให้กับมหาอำนาจของโลก ยิ่งไปกว่านั้น การเพิกเฉยและการปฏิบัติในทางมิชอบของบรรดาผู้ปกครองในปัญหาที่เกี่ยวกับปาเลสไตน์ และการเคลื่อนไหวต่างๆ ทั้งโดยทางลับและโดยเปิดเผยของบรรดาผู้ปกครองเหล่านี้ เพื่อประโยชน์ของอเมริกาและอิสราเอลในภูมิภาค และการไม่ขับเคลื่อนเพื่อที่จะทำให้ประชาคมเหล่านี้บรรลุสู่อุดมคติต่างๆ ของชาติและของอิสลาม ปัญหาทั้งหมดทั้งปวงเหล่านี้เองที่กลายเป็นพื้นฐานของการปฏิวัติต่างๆ ที่ขึ้นในภูมิภาค
ท่านอายะตุลลอฮ์คอเมเนอี ผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติ ได้แนะนำให้เห็นหลายต่อหลายครั้งในคำปราศรัยต่างๆ ของท่านว่า : “แรงสนับสนุนการคับเคลื่อนต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในภูมิภาค นั่นคือการเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่ของประชาชนชาวอิหร่าน และท่านเชื่อมั่นว่าการตื่นตัวของอิสลามที่แท้จริงนั้นประชาชนชาวอิหร่านได้ทำให้มันเริ่มต้นขึ้น และพวกเขาจะทำให้มันดำเนินต่อไปด้วยการช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้า การปฏิวัติอิสลามและระบอบการปกครองของอิสลามแห่งอิหร่านได้แสดงให้เห็นแล้วว่า อิสลามสามารถที่จะไปไกลมากกว่าในเรื่องของคำแนะนำสั่งสอนทางด้านจริยธรรม และประเด็นของแนวความคิดที่จะสร้างระบอบการปกครองขึ้นมา”
และวันนี้แม้จะผ่านช่วงเวลาของการปฏิวัติและการจัดตั้งระบอบอิสลามไปมากกว่า 30 ปีแล้วก็ตาม แต่เราก็จะพบเห็นว่าการปฏิวัติด้วยกับคุณลักษณะต่างๆ ที่ไม่มีใครเหมือนนี้ มีอิทธิพลและศักยภาพในการดึงดูดอย่างมากในหมู่ประชาชนของประเทศทั้งหลายในภูมิภาคตะวันออกกลาง เพื่อที่จะรับรู้ถึงผลกระทบต่างๆ ของการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่านโดยการนำของท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) ที่มีต่อการปฏิวัติต่างๆ ในภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น เราจะขอชี้ให้เห็นโดยสังเขปเกี่ยวกับบางส่วนของผลกระทบที่สำคัญไว้ ณ ที่นี้
อิรัก : ในขณะนี้อิรักได้เปลี่ยนเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนระบอบอิสลามในภูมิภาค ด้วยกับการพึ่งพาบรรดานักวิชาการชีอะฮ์และการสนับสนุนจากหลายฝ่ายที่มีต่อการเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่ของประชาชนในประเทศนี้ ทำให้สามารถปลดปล่อยตัวเองออกจากการปกครองเผด็จการของพรรคบาธได้
ซาอุดีอาระเบีย : วันนี้ รัฐบาลของราชวงศ์ซะอูด แม้จะมีกลุ่มต่อต้านที่กำลังพยายามจะทำการปฏิรูปโครงสร้างต่างๆ ทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม แต่รัฐบาลก็ไม่สามารถที่จะควบคุมการต่อต้านของประชาชนได้ แม้จะมีการปราบปรามอย่างรุนแรงและการลงโทษต่างๆ ที่หนักหน่วงสำหรับการเคลื่อนไหวทางการเมืองทุกรูปแบบ หรือการรายงานข่าวในประเทศ แต่กลุ่มการเคลื่อนไหวต่างๆ ที่หลากหลายก็ยังคงก่อตัวขึ้น เริ่มจากบรรดาเยาวชนมุสลิมทั้งชีอะฮ์และซุนนี ไปจนถึงกลุ่มปัญญาชนต่างๆ และในขณะนี้เรากำลังเห็นการเคลื่อนไหวต่อต้านระบอบลัทธิวะฮ์ฮาบีของราชวงศ์ซะอูด โดยกลุ่มคณะเหล่านี้มากยิ่งขึ้นทุกวัน
บาห์เรน : การมีประชากรชาวชีอะฮ์จำนวน 80 เปอร์เซ็นต์ ในประเทศบาห์เรน ทำให้ประเทศนี้มีความคล้ายคลึงกับอิหร่านในแง่ของวัฒนธรรมมากขึ้นทุกวัน และประเด็นนี้ได้กลายเป็นสาเหตุของความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดทางด้านความเชื่อและแนวคิดระหว่างสองประเทศนี้ เดิมทีประเทศนี้เป็นส่วนหนึ่งของอิหร่าน แต่มากกว่าสี่สิบปีที่ผ่านมา ด้วยผลพวงของแผนชั่วของอังกฤษ ทำให้รัฐบาลของชาฮ์ปาห์ลาวีที่สองยินยอมที่จะแยกเกาะที่สำคัญนี้ออกจากประเทศอิหร่าน ในช่วงสองสามปีมานี้เราได้พบเห็นการประท้วงต่างๆ ตลอดเวลา ในการที่จะโค่นล้มระบอบการปกครองที่เผด็จการของราชวงศ์อาลิค่อลีฟะฮ์
เลบานอน : ผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดของการปฏิวัติอิสลามที่มีต่อรัฐบาลและประชาชนของเลบานอนนั้น สามารถตรวจสอบได้จากการปรากฏขึ้นและการจัดตั้งกลุ่มฮิซบุลลอฮ์แห่งเลบานอน ในฐานะกลุ่มชีอะฮ์ที่มีความใกล้ชิดที่สุดต่อการปฏิวัติอิสลาม ในสภาพที่อยู่นอกพรมแดนของสาธารณรัฐอิสลาม โดยสามารถสร้างโครงสร้างที่แข็งแกร่งและทรงพลังในการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยการรวมตัวของประชาชนผู้ถูกกดขี่และผู้ถูกลิดรอน จนนำไปสู่ความปราชัยที่หนักหน่วงของรัฐบาลไซออนิสต์ที่เกิดจากกลุ่มฮิซบุลลอฮ์แห่งเลบานอน นับว่าเป็นสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลาง
ปาเลสไตน์ : หนึ่งในอุดมคติและคำขวัญที่สำคัญที่สุดของการปฏิวัติอิสลาม คือการปกป้องผู้ถูกกดขี่ และที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือ “ปาเลสไตน์” และการกำจัดระบอบการปกครองของลัทธิไซออนิสต์ การเปลี่ยนปัญหาปาเลสไตน์จากปัญหาของชาติพันธุ์หนึ่งและของชนชาติอาหรับให้กลายเป็นปัญหาของอิสลาม การกำหนดวันหนึ่งในนาม “วันอัลกุดส์” และการตัดความสัมพันธ์อย่างสมบูรณ์ของอิหร่านกับรัฐบาลไซออนิสต์ คือส่วนหนึ่งจากการดำเนินการที่สำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ของท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) ผู้นำการปฏิวัติอิสลาม ทำนองเดียวกัน การที่นักต่อสู้ชาวปาเลสไตน์ได้ยึดเอาระบอบสาธารณะรัฐอิสลามเป็นแบบอย่าง การกำหนดเอามัสยิดเป็นที่มั่นหลักในการต่อสู้กับศัตรูและการก่อตัวขึ้นของกลุ่มนักต่อสู้ต่างๆ อย่างเช่น กลุ่มฮามาสและญิฮาดอิสลามี การขยายตัวของขบวนการอินติฟาเฎาะฮ์ (Intifada) นับว่าเป็นอีกส่วนหนึ่งจากผลกระทบที่สำคัญของการปฏิวัติอิสลามโดยการนำของท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.)
อียิปต์ ตูนิเซีย ลิเบีย : คือบรรดาประเทศที่สามารถพบเห็นผลกระทบต่างๆ ของการปฏิวัติอิสลามได้อย่างชัดเจน ซึ่งในท้ายที่สุดก็จบลงด้วยการยืนหยัดต่อสู้เพื่อปลดปล่อยตนเองออกจากความเป็นเผด็จการของบรรดาผู้ปกครองที่เป็นสมุนรับใช้อเมริกาและเป็นผู้ต่อต้านศาสนา บรรดาผู้อ่อนแอและผู้ถูกกดขี่ของโลกกำลังเฝ้ารอดูชะตากรรมของการปฏิวัติในประเทศเหล่านี้ วันนี้ด้วยผลของแนวความคิดต่างๆ ของท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) และการบริหารจัดการของท่านอายะตุลลอฮ์คอเมเนอี ผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติ เรากำลังได้เห็นเสียงเรียกร้องหาความยุติธรรมและการต่อต้านมหาอำนาจจอมอหังการของการปฏิวัติอิสลามได้ดังไปถึงทวีปต่างๆ ในลาตินอเมริกาและในสังคมอื่นๆ ที่ไม่ใช่สังคมอิสลามนั้น บรรดานักคิดและผู้นำขบวนการเคลื่อนไหวทั้งหลายกำลังรับรู้และเข้าใจถึงแนวคิดอันศักดิ์สิทธิ์ หมายถึงการปฏิวัติอิสลามนี้แล้ว
บทความโดย : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ
Copyright © 2017 SAHIBZAMAN.NET- สื่อเรียนรู้อิสลามสำหรับอิสระชนคนรุ่นใหม่