วันที่ 24 เดือนซุลฮิจญะฮ์วันครบรอบปีเหตุการณ์มุบาฮะละฮ์ (การวิงวอนต่อพระเจ้าให้สาปแช่งและลงโทษฝ่ายที่มิได้อยู่บนสัจธรรม) ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) กับคริสเตียนแห่งนัจญ์รอน ใน ปี ฮ.ศ.ที่ 9 ด้วยกับการปฏิเสธของคริสเตียนที่จะยอมรับความเป็นสัจธรรมของศาสนาอิสลาม ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะทำการมุบาฮะละฮ์กัน แม้ว่าการมุบาฮะละฮ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเนื่องมาจากความหวาดกลัวและการขอยกเลิกของคริสเตียนก็ตาม แต่ก็ได้ทำให้ความเป็นสัจธรรมและสถานภาพของอะฮ์ลุลบัยติ์ (อ.) เป็นที่ปรากฏอย่างชัดเจน
คัมภีร์อัลกุรอานในโองการ “อัลมุบาฮะละฮ์” (1) ได้ชี้ถึงเรื่องราวการถกเถียงของคริสเตียนแห่งนัจญ์รอนกับท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ว่า ด้วยกับการปฏิเสธของคริสเตียนที่จะยอมรับความเป็นสัจธรรมของศาสนาอิสลาม ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะทำการมุบาฮะละฮ์กัน แม้ว่าการมุบาฮะละฮ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเนื่องมาจากความหวาดกลัวและการขอยกเลิกของคริสเตียนก็ตาม แต่ก็ได้ทำให้ความเป็นสัจธรรมและสถานภาพของอะฮ์ลุลบัยติ์ (อ.) เป็นที่ปรากฏอย่างชัดเจน
ตลอดระยะเวลาของประวัติศาสตร์ เหตุการณ์นี้ได้กลายเป็นประเด็นการค้นคว้าและการพูดคุยทางด้านวิชาเทววิทยา (อิลมุลกะลาม) อย่างละเอียด ส่วนหนึ่งคือการที่บรรดานักอรรถาธิบายคัมภีร์อัลกุรอาน (มุฟัซซิรีน) และนักศาสนศาสตร์ได้ใช้โองการนี้สำหรับการพิสูจน์ความประเสริฐของอะฮ์ลุลบัยติ์ของท่านศาสดา, ความไร้ความผิดพลาด (อิศมะฮ์) และความเป็นผู้นำ (อิมามะฮ์) ทันทีของท่านอมีรุ้ลมุอ์มินีน อะลี บินอบีฏอลิบ (อ.) สืบต่อจากท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ในเนื้อหาของบทความสั้นๆ นี้จะชี้ถึงส่วนหนึ่งจากผลลัพธ์ของเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่นี้ :
1. มุบาฮะละฮ์ คือหลักฐานพิสูจน์ความเป็นสัจธรรมของศาสนาอิสลาม
ในวันแห่งการนัดหมาย ชาวคริสเตียนนัจญ์รอนได้มายังสถานที่มุบาฮะละฮ์ อาร์คบิชอปของชาวคริสเตียน เมื่อได้เห็นท่านศาสดา (ซ็อลฯ) และอะฮ์ลุลบัยติ์ (อ.) ได้กล่าวว่า :
اِنّی لأری وُجوها لو سألُوا اللّهَ اَن یُزیل جبلاً مِن مکانِه لازَاله بِها فلا تُباهلوا فتُهلِکوا ولایَبقی علیِ وجهِ الارضِ نصرانیٌّ الی یومِ القیامةِ
"แท้จริงฉันเห็นใบหน้าทั้งหลาย ซึ่งหากพวกเขาวิงวอนขอต่อพระผู้เป็นเจ้าให้ภูเขาเคลื่อนจากที่ตั้งของมัน พระองค์ก็จะทรงทำให้มันเคลื่อนด้วยกับการวอนขอของพวกเขา ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่าทำการมุบาฮะละฮ์กับพวกเขาเลย มิเช่นนั้นพวกเจ้าจะพบกับความพินาศ และจะไม่มีคริสเตียนคนใดหลงเหลืออยู่บนหน้าแผ่นดินนี้อีกเลยจวบจนถึงวันกิยามะฮ์ (ปรโลก)" (2)
ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงประกาศขอยกเลิกการมุบาฮะละฮ์และยอมที่จะประนีประนอม
2. มุบาฮะละฮ์ คือหลักฐานพิสูจน์ความเที่ยงแท้ของตำแหน่งศาสดา (นุบูวะฮ์)
การนำพาอะฮ์ลุลบัยติ์ (ครอบครัว) เข้าร่วมในเหตุการณ์นี้ นั่นหมายความว่าท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) มีความเชื่อมั่นอย่างสมบูรณ์ต่อความเป็นศาสดา (นุบูวะฮ์) ของตนเอง ด้วยเหตุนี้ท่านจึงนำพากลุ่มคนผู้เป็นที่รักที่สุดของตนเองเข้าไปสู่สถานที่ที่อันตรายที่สุดอย่างกล้าหาญ การปรากฏตัวของอะฮ์ลุลบัยติ์ (อ.) ในเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่นี้เป็นหลักฐานที่แข็งแกร่งที่พิสูจน์ถึงความเป็นสัจธรรมของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) โดยที่อาร์คบิชอปแห่งนัจญ์รอนเองก็ได้ชี้ถึงประเด็นนี้เช่นกัน
3. มุบาฮะละฮ์ คือหลักฐานพิสูจน์ความประเสริฐและความเหนือกว่าของท่านอมีรุ้ลมุอ์มินีน (อ.)
จากประเด็นที่ว่าท่านศาสดา (ซ็อลฯ) คือสิ่งถูกสร้าง (มัคลูก) ที่ประเสริฐที่สุดของพระผู้เป็นเจ้านั้น ในโองการมุบาฮะละฮ์ได้กล่าวถึงท่านอิมามอะลี (อ.) ในฐานะตัวตน (นัฟซ์) ของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ดังนั้นท่านอิมามอะลี (อ.) จึงมีความเหมือนกับท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ในทุกด้านยกเว้นความเป็นศาสดา (นุบูวะฮ์) (3)
ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ ท่านอิมามอะลี (อ.) จึงมีความสูงส่งและประเสริฐกว่าบรรดาซอฮาบะฮ์ทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นสูงส่งกว่าและประเสริฐกว่าสิ่งถูกสร้างทั้งมวล แม้แต่ศาสดาทั้งมวลยกเว้นท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) โองการนี้เป็นหลักฐานยืนยันถึงความคู่ควรที่สุดของท่านต่อตำแหน่งคิลาฟะฮ์ (การสืบทอดอำนาจการปกครองต่อจากท่านศาสดา) และความเป็นโมฆะในการคัดเลือกผู้อื่น (4)
4. มุบาฮะละฮ์ คือหลักฐานพิสูจน์ความเป็นผู้สืบทอดของอะฮ์ลุลบัยติ์ (อ.)
แม้ว่าในเหตุการณ์นี้ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) สามารถที่จะออกไปทำการมุบาฮะละฮ์ได้ด้วยตัวเองโดยลำพัง แต่ทว่าพระผู้เป็นเจ้าและท่านศาสนทูตประสงค์ที่จะปฏิบัติเช่นนี้ หมายถึงการนำเอาอะฮ์ลุลบัยติ์ (อ.) ออกไปนั้น ก็เพื่อต้องการที่จะทำให้เราได้เข้าใจว่า คนเหล่านี้เป็นผู้ช่วยเหลือและเป็นหุ้นส่วนของท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) ในการเรียกร้องเชิญชวนสู่สัจธรรมและการบรรลุเป้าหมายของตน พร้อมที่จะยอมรับอันตรายร่วมกับท่านและจะเป็นผู้สืบสานภารกิจของท่าน (5)
5. มุบาฮะละฮ์ คือหลักฐานที่แสดงถึงสถานะภาพที่ยิ่งใหญ่ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ.)
ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้นำท่านหญิงฟาฏิมะฮ์อัซซะฮ์รอ (อ.) ร่วมทางไปกับตนเพื่อการมุบาฮะละฮ์ ในฐานะหลักฐานพิสูจน์ความเป็นศาสดา (นุบูวะฮ์) และภารกิจของการเป็นผู้ประกาศสาส์น (ริซาละฮ์) แห่งพระผู้เป็นเจ้า และก่อนที่ท่านจะออกไปสู่สถานที่ของการมุบาฮะละฮ์ ท่านได้เรียก ท่านอะลี,ฟาฏิมะฮ์,ฮาซันและฮุเซน (อ.) พร้อมกับกล่าวว่า :
الّلهمَّ هؤلاءِ اَهلی
"โอ้อัลลอฮ์! บุคคลเหล่านี้คือครอบครัวของข้าพระองค์”
ในที่นี้ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้แนะนำอะฮ์ลุลบัยติ์ที่แท้จริงของตนต่อประชาชาติมุสลิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางปฏิบัติ ท่านได้เฉพาะเจาะจงให้เห็นว่าในท่ามกลางบรรดาสตรีนั้น ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ.) เพียงเท่านั้นที่เป็นตัวอย่างที่แท้จริงของ «نِسَاءنَا» (สตรีของเรา)
6. พิสูจน์ความเป็นบุตรศาสดา (ซ็อลฯ) ของอิมามฮะซันและอิมามฮุเซน (อ.)
เหตุการณ์มุบาฮะละฮ์เป็นตัวอธิบายให้เห็นว่า ท่านอิมามฮะซัน (อ.) และท่านอิมามฮุเซน (อ.) อยู่ในฐานะบุตรของท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) เนื่องจากในโองการนี้ พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสูงส่งได้ทรงตรัสด้วยประโยคที่ว่า «أَبْنَاءَنَا» ซึ่งหมายถึง “ลูกๆ ของเรา”
เชิงอรรถ :
1)- อัลกุรอานบทอาลิอิมรอน โองการที่ 61 :
فَمَنْ حَآجَّكَ فِيهِ مِن بَعْدِ مَا جَاءكَ مِنَ الْعِلْمِ فَقُلْ تَعَالَوْاْ نَدْعُ أَبْنَاءنَا وَأَبْنَاءكُمْ وَنِسَاءنَا وَنِسَاءكُمْ وَأَنفُسَنَا وأَنفُسَكُمْ ثُمَّ نَبْتَهِلْ فَنَجْعَل لَّعْنَةَ اللّهِ عَلَى الْكَاذِبِينَ
“ดังนั้นผู้ใดที่โต้เถียงเจ้าในเรื่องของเขา (อีซา) ภายหลังจากที่ความรู้ได้มายังเจ้าแล้ว เจ้าก็จงกล่าว (กับพวกเขา) เถิดว่า ท่านทั้งหลายจงมาเถิด เราจะเรียกลูกๆ ของเราและลูกๆ ของพวกท่าน และเรียกบรรดาสตรีของเราและบรรดาสตรีของพวกท่าน และตัวของเราและตัวของพวกท่านมา แล้วเราก็จะวิงวอน โดยขอให้การสาปแช่งของอัลลอฮ์จงประสบแก่บรรดาผู้มดเท็จ”
2)- บิฮารุ้ลอันวาร , อัลลามะฮ์มัจญ์ลิซี , เล่มที่ 21 , หน้าที่ 254
3)- อัลอิรชาด , เชคมุฟีด , เล่มที่ 1 , หน้าที่ 348
4)- ชัรห์ บาบิ ฮาดีย์ อะชัร , เล่มที่ 1 , หน้าที่ 169
5)- ตัฟซีร นูร , มุห์ซิน กิรออะตี , เล่มที่ 2 , หน้าที่ 75
บทความ : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ
Copyright © 2018 SAHIBZAMAN.NET- สื่อเรียนรู้สำหรับอิสระชนคนรุ่นใหม่