ฟาฏิมะฮ์ (อ.) ผู้สละชีพในหนทางแห่งวิลายะฮ์

ฟาฏิมะฮ์ (อ.) ผู้สละชีพในหนทางแห่งวิลายะฮ์

      ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ.) ถือว่าการปกป้องวิลายะฮ์ (อำนาจการปกครอง) และสิทธิอันชอบธรรมของท่านอิมามอะลี (อ.) ตราบเท่าชีวิตของท่านนั้น เป็นหน้าที่ประการหนึ่งจากพระผู้เป็นเจ้า การคัดค้านและปกป้องของท่านหญิงซะฮ์รอ (อ.) เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและทุกโอกาสที่อำนวย จนกระทั่งเหตุการณ์การบีบบังคับท่านอิมามอะลี (อ.) ให้ยอมให้สัตยาบัน (บัยอะฮ์) ต่ออบูบักรเกิดขึ้น ในช่วงเวลานั้นท่านอิมามอะลี (อ.) ได้ใช้ชีวิตแต่ภายในบ้านของท่าน และมีความตั้งใจอย่างมุ่งมั่นที่จะทำการรวบรวมคัมภีร์อัลกุรอาน โดยไม่ออกจากบ้าน

     อบูบักรแม้จะไดขึ้นสู่ตำแหน่งคิลาฟะฮ์ (ผู้ปกครอง) แล้วก็ตาม แต่เนื่องจากกลุ่มใหญ่ของบนีฮาชิม ชาวมุฮาญิรีนและชาวอันศ๊อร ไม่ยอมให้สัตยาบันต่อเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ท่านอิมามอะลี (อ.) และอัครสาวกกลุ่มหนึ่งของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ก็ไม่ยอมให้สัตยาบันต่อเขาเช่นเดียวกัน ประเด็นดังกล่าวนี้ได้สร้างความหนักใจและความทุกข์ใจให้แก่อบูบักร ผู้เป็นค่อลีฟะฮ์และบรรดาสหายของเขา พวกเขาพยายามทดสอบท่านอิมามอะลี (อ.) ซ้ำแล้วซ้ำว่า เพื่อที่จะพิทักษ์รักษาอิสลามไว้จากศัตรูภายนอก ท่านจะไม่ดำเนินการใดๆ เป็นแน่ ที่จะนำไปสู่สงครามกลางเมือง เมื่อพวกเขามั่นใจเช่นนั้นแล้วจึงวางแผนที่จะบีบบังคับเอาตัวท่านอิมามอะลี (อ.) ไปยังมัสยิดในเมืองมะดีนะฮ์ เพื่อให้สัตยาบัน

     ณ ที่แห่งนั้น เบื้องต้นพวกเขาได้ส่ง “กุนฟุส” ไปนำตัวท่านอิมามอะลี (อ.) มา แต่ก็ไร้ผล อุมัรพร้อมด้วยชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งจึงบุกไปยังบ้านของท่านอิมามอะลี (อ.) แต่ก็ต้องเผชิญกับการต้านทานของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ.) พวกเขาได้เผาประตูบ้าน ทันใดนั้นควันไฟสีดำและเปลวเพลิงก็ลุกโชนขึ้นในบ้านของบุตรีของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) เสียงตะโกนร้องของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ.) ก็ได้ดังขึ้น พร้อมกับกล่าวว่า

 یا اَبتاه ! یا رَسُولَ اللّه

“โอ้พ่อจ๋า! โอ้ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์!”

     ทว่าไม่เพียงแต่ไม่มีใครที่จะตอบรับเสียงเรียกร้องและรีบรุดสู่การช่วยเหลือบุตรีของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) เพียงเท่านั้น แต่ท่ามกลางเปลวไฟและควันนั้นเองที่ฝักดาบได้กระแทกอย่างแรงเข้าไปที่สีข้างของท่านหญิงซะฮ์รอ (อ.) และตีลงบนต้นแขนของท่านหญิง และท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ.) ก็ยังคงร้องเรียกชื่อบิดาของท่านอย่างต่อเนื่อง ช่วงเวลานั้นเองที่บรรดาผู้ละโมบและหื่นกระหายในอำนาจได้จู่โจมเข้าไปภายในบ้านของท่านหญิงซะฮ์รอ (อ.) เพื่อที่จะนำตัวท่านอิมามอะลี (อ.) ไปยังมัสยิด แต่ท่านหญิงซะฮ์รอ (อ.) แม้จะอยู่ในสภาพที่อ่อนหล้าและถูกทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรง ก็ยังคงขวางกั้นพวกเขาจากการที่จะมานำตัวท่านอิมามอะลี (อ.) ไป (1)

      กุนฟุส ได้รับคำสั่งจากอุมัร ให้ตัดกำลังและนำตัวท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (ฮ.) ออกไปจากการชุดรั้งท่านอิมามอะลี (อ.) ไว้ ทันใดนั้นเองเขาได้ใช้ฝักดาบฟาดอย่างแรงไปที่แขนของท่านหญิง จนทำให้แขนของท่านหญิงบวมขึ้นในทันที อาชญากรรมดังกล่าวนี้กลายเป็นสาเหตุนำไปสู่การเป็นชะฮีด (เสียชีวิต) ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ.) (2)

      แม้ว่านักประวัติศาสตร์จะมีทัศนะที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับอายุของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ.) แต่ไม่มีใครเคยพูดถึงเกี่ยวกับความเจ็บป่วยของท่านหญิงในช่วงเวลาที่ท่านศาสทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) ยังมีชีวิตอยู่เลย พวกเขายอมรับถึงความมีสุขภาพที่สมบูรณ์และปกติของบุตรีของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ด้วยเหตุนี้เอง ความไม่สบายและความเจ็บป่วยของท่านหญิงจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับช่วงเวลาภายหลังจากการเสียชีวิต (วะฟาต) ของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ทั้งสิ้น ท่านอิมามบากิร (อ.) กล่าวว่า

ما رُؤیَت فاطِمَةُ (سلام الله علیها) ضاحِكَةً قَطُّ منذ قُبِضَ رَسُول اللّهِ (صلی الله علیه و آله) حَتى قُبِضَتْ

“ไม่เคยเห็นท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ.) ในสภาพหัวเราะ (ร่าเริง) อีกเลย ภายหลังการจากไปของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) จนกระทั่งดวงวิญญาณของท่านได้ออกจากร่าง” (3)

     ท่านอิมามอะลี (อ.) ในขณะที่ทำการฝังเรือนร่างอันบริสุทธิ์ของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ.) นั้น หลังจากกล่าวสลามต่อท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) แล้ว ท่านกล่าวว่า

 وَ سَتُنَبِّئُكَ ابْنَتُكَ بِتَضَافُرِ أُمَّتِكَ عَلَى هَضْمِهَا فَأَحْفِهَا السُّؤَالَ وَ اسْتَخْبِرْهَا الْحَالَ هَذَا

“…และในไม่ช้านี้แล้วที่บุตรีของท่าน จะได้บอกข่าวแก่ท่านถึงความร่วมมือกันของประชาชาติ (อุมมะฮ์) ของท่านในการอธรรมและการลิดรอนสิทธิ์ของนาง ดังนั้น ท่านจงรบเร้าถามความจริงจากนาง และจงหารายละเอียดจากนางต่อสภาพเช่นนี้ (ที่เกิดขึ้นกับนาง) เถิด…” (4)

       ด้วยเหตุนี้เอง อาการเจ็บป่วยทั้งหมดของท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ.) จึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังจากการวะฟาต (เสียชีวิต) ของศาสดา (ซ็อลฯ) ทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นผลที่เกิดจากการถูกทุบตีในเหตุการณ์ปกป้องวิลายะฮ์ (อำนาจการปกครอง) และความเป็นผู้นำ (อิมามะฮ์) ของท่านอิมามอะลี (อ.) จนเป็นสาเหตุนำไปสู่การเป็นชะฮีด (เสียชีวิต) ของท่านหญิง

     ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ.) ได้พลีอุทิศตนเองในการปกป้องวิลายะฮ์ และในหนทางแห่งการพิทักษ์อิมามแห่งยุคสมัยของท่าน ท่านได้สละชีวิตของท่านในหนทางแห่งศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า ซี่โครงที่หัก ใบหน้าที่ถูกตบตี และท่อนแขนที่บวมเป่ง ที่เกิดขึ้นกับท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ.) ทำให้ท่านหญิงต้องทนทุกข์ทรมานและเก็บตัวอยู่แต่ภายในบ้านเป็นเวลาถึง 75 วัน (5) หรือ 95 วัน (6) หลังจากการวะฟาต (เสียชีวิต) ของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ท่านหญิงก็ได้เป็นชะฮีด (เสียชีวิต) ลง

    ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ.) คือชะฮีด (ผู้สละชีพ) ท่านแรกในแนวทางของพระเจ้า ภายหลังจากการวะฟาต (เสียชีวิต) ของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ท่านหญิงต้องถูกทำร้ายร่างกายเนื่องจากการปกป้องอิมามะฮ์ (ตำแหน่งอิมาม) และวิลายะฮ์ (อำนาจการปกครอง) ของท่านอิมามอะลี (อ.) เราจะอ่านในบทซิยาเราะฮ์ตอนหนึ่งซึ่งมีเนื้อความว่า

 وَ صـَلِّ عـَلَى … المـَغـْضـُوبـَةِ حـَقـّهـا، المـَمـْنـُوعَةِ اِرْثُها، المَكْسُورَةِ ضِلْعُها، المَظْلُومِ بَعْلُها، المَقْتُولِ وَلَدُها

“ขอความศานติจงมีแด่ (ท่านหญิง)… ผู้ซึ่งถูกฉกชิงสิทธิของนาง ผู้ถูกกีดกันจากมรดกของนาง ผู้ที่ซี่โครงของนางได้หัก ผู้ที่สามีของนางได้ถูกอธรรม ผู้ที่ลูกชายของนางได้ถูกฆ่าตาย (ในหนทางของพระเจ้า)” (7)


แหล่งอ้างอิง :

(1) บิฮารุ้ลอันวาร, เล่มที่ 43, หน้าที่ 198

(2) ดะลาอิลุ้ลอะอิมมะฮ์, อัฏฏอบะรี, หน้าที่ 45 ; บิฮารุ้ลอันวาร, เล่มที่ 43, หน้าที่ 170

(3) บิฮารุ้ลอันวาร, เล่มที่ 43, หน้าที่ 196

(4) ชัรห์ นะฮ์ญิลบะลาเฆาะฮ์, อิบนุ อบิลฮะดีด, เล่มที่ 1, หน้าที่ 265

(5) บิฮารุ้ลอันวาร, เล่มที่ 43, หน้าที่ 212

(6) บิฮารุ้ลอันวาร, เล่มที่ 10, หน้าที่ 52 ; อัลอิซอบะฮ์, เล่มที่ 4, หน้าที่ 280

(7) บทซิยาเราะฮ์ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ (อ.) มะฟาตีฮุลญินาน


บทความ : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ