สงครามฉนวนกาซาได้เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของทุกสิ่ง และรัฐบาลอาหรับที่เคยคิดที่จะกระชับความสัมพันธ์กับระบอบไซออนิสต์ให้เป็นปกติ ก็ถูกจำกัดโดยความคิดเห็นของสาธารณชนและความเห็นอกเห็นใจต่อประชาชนปาเลสไตน์ และถูกบังคับให้ลดระดับการพูดคุยของพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้
อเมริกาสูญเสียอิทธิพลทางการเมืองในตะวันออกกลางเนื่องจากการเคลื่อนไหวของอิหร่าน ในความเป็นจริง สิ่งที่เกิดขึ้นในสมการใหม่ของสงครามฉนวนกาซามีบทเรียนมากมายสำหรับรัฐบาลฮีบรูและอาหรับ
ความเป็นเจ้าโลกที่กำลังเสื่อมลงของสหรัฐอเมริกา
ดูเหมือนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันยังห่างไกลจากแนวทางการทูตที่ เฮนรี คิสซิงเจอร์ ต้องการซึ่งดำเนินอยู่ในระหว่างอิสราเอลกับประเทศอาหรับในทศวรรษ 1970 และด้วยเหตุนี้เขาจึงเดินทางไปยังตะวันออกกลาง ในเวลานั้นอเมริกาปกครองเหนือภูมิภาคนี้ สามารถใช้นโยบาย "Carrot and stick" (ใช้ทั้งพระเดช และพระคุณ) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายและบังคับให้ศัตรูยุติข้อพิพาทได้ ในปี 1978 ความพยายามเหล่านี้ยังคงดำเนินต่อไปในระหว่างการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจิมมี่ คาร์เตอร์ และนำไปสู่ข้อตกลง "แคมป์เดวิด" ระหว่างอียิปต์และรัฐยิว
ก่อนการโจมตีของกลุ่มฮามาส ซาอุดีอาระเบียจวนจะบรรลุข้อตกลงกับอิสราเอลและสหรัฐอเมริกา เพื่อปูทางไปสู่ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างซาอุดีอาระเบียและอิสราเอล
สงครามในฉนวนกาซาแสดงให้เห็นถึงขอบเขตของอิทธิพลที่สูญหายไปของอเมริกาในทุกวันนี้ เป็นที่ประจักษ์เมื่อการเยือนอิสราเอลของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ ยังคงมีบทบาทเป็นผู้พิทักษ์อิสราเอล และบังคับให้นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู เลื่อนการโจมตีฉนวนกาซาออกไปจนกว่าการเจรจาจะสิ้นสุดลงเพื่อปล่อยตัวตัวประกัน แต่ไบเดนล้มเหลวในกลุ่มประเทศอาหรับ ในขณะที่เขาตั้งใจจะเข้าพบกษัตริย์อับดุลลอฮ์แห่งจอร์แดน อับเดล ฟัตตาห์ อัล-ซีซี ประธานาธิบดีอียิปต์ และมะห์มูด อับบาส ประธานาธิบดีปาเลสไตน์ แต่เขาก็ได้ยกเลิกการพบปะเหล่านี้ทั้งหมด
วอชิงตันยังต้องขอให้อียิปต์ ซึ่งได้รับความช่วยเหลือทางทหารจากสหรัฐฯ มูลค่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ต่อปี อนุญาตให้รถบรรทุกช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจำนวนไม่มากเข้าสู่ฉนวนกาซาผ่านทางทางข้ามราฟาห์ที่ไคโรควบคุม
การถอนตัวของอาหรับออกจาก "สนธิสันญาอับราฮัม" ( The Abraham Accords )
ก่อนการโจมตีของกลุ่มฮามาส ซาอุดีอาระเบียจวนจะบรรลุข้อตกลงกับอิสราเอลและสหรัฐอเมริกา เพื่อปูทางไปสู่ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างซาอุดีอาระเบียและอิสราเอล ข้อตกลงนี้เป็นความต่อเนื่องของข้อตกลงที่เรียกว่า "สนธิสันญาอับราฮัม" ซึ่งลงนามในปี 2020 โดยที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บาห์เรน ซูดาน และโมร็อกโก ได้ปรับความสัมพันธ์กับอิสราเอลให้เป็นปกติ หลังจากที่ชาวปาเลสไตน์เงียบไปมากแล้วเกี่ยวกับการวิ่งเต้นทางการทูตของอาหรับ และคิดว่าโลกอาหรับพยายามจะเลิกปกป้องปาเลสไตน์แล้ว
สงครามฉนวนกาซาได้เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของทุกสิ่ง และรัฐบาลอาหรับที่เคยคิดที่จะกระชับความสัมพันธ์กับอิสราเอลให้เป็นปกติ ก็ถูกจำกัดโดยความคิดเห็นของสาธารณชนและความเห็นอกเห็นใจต่อประชาชนปาเลสไตน์ ถูกบังคับให้ลดระดับการเจรจาพูดคุยกับระบอบการปกครองนี้ ที่แย่กว่านั้นคือ แม้แต่อียิปต์และจอร์แดน ทั้งสองประเทศที่ยินดีกับมือที่ยื่นมาของอิสราเอล ก็ยังมีจุดยืนที่เด็ดขาดมากเกี่ยวกับการปฏิบัติการตอบโต้ของกองทัพอิสราเอลต่อฉนวนกาซา
ในเรื่องนี้ ก็เพียงพอแล้วที่ดูเหมือนว่า การสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างริยาดและเทลอาวีฟจะถูกเลื่อนออกไปเป็นระยะเวลาไม่มีกำหนด โดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมาจากปฏิบัติการภาคพื้นดินกับฉนวนกาซา ซึ่งเพิ่มความตึงเครียด นอกจากนี้ ประเทศอาหรับที่เกี่ยวข้องกับประเด็นปาเลสไตน์ก็ไม่สามารถเพิกเฉยต่อปัญหาดังกล่าวได้เหมือนในหลายปีที่ผ่านมา
อิหร่านสำแดงอำนาจ
ปัจจุบัน อิหร่านดูเหมือนจะเป็นผู้ชนะที่ใหญ่ที่สุดของวิกฤตที่กลุ่มฮามาสจุดชนวนเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม เตหะรานมีบทบาทสำคัญในการติดอาวุธ จัดเตรียมอาวุธ และอาจฝึกกองกำลังต่อต้านด้วย อิหร่านได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นผู้สนับสนุนเป้าหมายของชาวปาเลสไตน์และเป็นศัตรูอันดับหนึ่งของอิสราเอล ต้องขอบคุณฮิซบุลลอฮ์แห่งเลบานอนซึ่งมีอาวุธทรงพลัง ทำให้พรมแดนทางตอนเหนือของอิสราเอลไม่ปลอดภัย และกองต่อต้านของเลบานอนได้เริ่มระดมกำลังบางส่วนเป็นเวลานานมาแล้ว
ตามรายงานของ "Rahbordemoaser" ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เตหะรานได้เพิ่มคำเตือนเกี่ยวกับการปฏิบัติการทางทหารของกองทัพอิสราเอลในฉนวนกาซา และวอชิงตัน ได้ดำเนินการคำเตือนอย่างจริงจังต่อสหรัฐฯ ที่ส่งเรือบรรทุกเครื่องบินสองลำมาในภูมิภาคพร้อมกับนาวิกโยธินประมาณ 2,000 นาย ผู้สังเกตการณ์สงสัยความเป็นไปได้ที่อิหร่านจะเข้าสู่สงครามโดยตรง และเชื่อว่า การส่งกำลังทหารอเมริกันมาในภูมิภาคนี้มีจุดประสงค์เพื่อป้องปราม
ปัจจุบัน อิหร่านดูเหมือนจะเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวิกฤตที่กลุ่มฮามาสจุดชนวนเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม
ด้วยสื่อพันธมิตรทั้งหลายที่ทำให้อิหร่านค่อยๆ ขยายอำนาจทางการเมืองของตนไปทั่วตะวันออกกลาง กลุ่มต่อต้านในอิรัก ซีเรีย อันซอรุลลอฮ์ในเยเมน และกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา มีเป้าหมายร่วมกัน และนั่นคือการกำจัดอเมริกาออกจากตะวันออกกลาง ดูเหมือนว่า ไบเดนไม่ได้ตั้งใจที่จะออกจากภูมิภาคนี้ แต่ยังคงต้องรอดูกันว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะทำอย่างไรหากเขาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปีหน้า
ที่มา : อัล อาลัม
Copyright © 2023 SAHIBZAMAN.NET- สื่อเรียนรู้สำหรับอิสระชนคนรุ่นใหม่