อิทธิพลของการยืนหยัดต่อสู้ของท่านอิมามฮุเซน (อ.) ในโศกนาฏกรรมแห่งอาชูรอ ที่มีต่อการปฏิวัติต่างๆ ของประชาชนและการตื่นตัวในโลกอิสลาม
ขบวนการยืนหยัดต่อสู้แห่งอาชูรอ คือเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดหลังจากการถือกำเนิดของศาสนาอิสลาม ขบวนการยืนหยัดต่อสู้ครั้งนี้มีผลกระทบต่างๆ ที่สำคัญติดตามมา ซึ่งในฐานะที่เป็นวีรกรรมอันยิ่งใหญ่และเป็นนิรันดร์นั้น จะยังคงดำเนินไปจวบจนถึงวันอวสานของโลก ในความเป็นจริงแล้วขบวนการยืนหยัดต่อสู้แห่งอาชูรอ คือคบเพลิงที่ให้แสงสว่างแก่บรรดาประชาชาติมุสลิม ยิ่งไปกว่านั้น มันคือประทีปที่ให้แสงสว่างแก่บรรดาเสรีชนแห่งโลกทั้งมวล ในวันอาชูรอท่านอิมามฮุเซน (อ.) ได้กล่าวกับบรรดาทหารในกองทัพของอุมัร อิบนุซะอัดว่า “หากพวกเจ้าไม่เชื่อมั่นต่อศาสนา และพวกเจ้าไม่กลัวต่อวันแห่งการฟื้นคืนชีพแล้ว อย่างน้อยที่สุดในโลกนี้พวกเจ้าก็จงเป็นเสรีชนเถิด”
ผู้ใดก็ตามที่มีสัญชาติญาณของความเป็นมนุษย์อยู่ในตัวเองแล้ว เขาผู้นั้นจะต้องมีความเชื่อมั่นอย่างสมบูรณ์ต่อเรื่องราวแห่งอาชูรอและและวีรกรรมของท่านอิมามฮุเซน (อ.) เรื่องราวเกี่ยวกับวันอาชูรอและวีรกรรมของท่านอิมามฮุเซน (อ.) นั้นมีรากฐานที่มาจากสัญชาติญาณของมนุษย์ทั้งมวล ความเป็นเสรีชนและการไม่ยอมตกอยู่ภายใต้การครอบงำ การใช้อำนาจบีบบังคับและการกดขี่ของผู้ใดนั้น เป็นสิ่งที่มีอยู่ในสัญชาติญาณ (ฟิฏเราะฮ์) ของมนุษย์เช่นเดียวกัน และด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้เอง ผู้ใดก็ตามที่มีสัญชาติญาณแห่งความเป็นมนุษย์นี้อยู่ในตัวเขา เขาย่อมจะต้องมีความเชื่อมั่นอย่างสมบูรณ์ต่อโศกนาฏกรรมแห่งอาชูรอและวีรกรรมของท่านอิมามฮุเซน (อ.) และเรื่องราวดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อจิตใจของเขา
ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) กล่าวว่า
ان الحسین مصباج الهدی و سفینةالنجاة
“แท้จริงฮุเซน คือประทีปส่องทางนำและเป็นนาวาแห่งความปลอดภัย” (1)
ภาพรวมโดยทั่วไปที่บรรดาชีอะฮ์มีจากยุคเริ่มแรกของอิสลาม และยุคสมัยการปกครองของท่านอิมามอะลี (อ.) นั้น ยังคงสภาพอยู่ในรูปของอุดมคติสำหรับพวกเขาเสมอมา และพวกเขาได้ใช้ความอุตสาห์พยายามเพื่อที่จะบรรลุอุดมคตินั้น อุดมคติดังกล่าวนี้ได้ว่ายเวียนอยู่ในหัวใจและความนึกคิดของประชาชนตลอดมา ในรูปของความมุ่งหวังและความใฝ่ฝันต่อระบอบการปกครองที่มีความยุติธรรม ที่วางพื้นฐานอยู่บนบทบัญญัติดังเดิมต่างๆ ของอิสลาม และวางอยู่บนแนวทางการปกครองของท่านอิมามอะลี (อ.) ทำนองเดียวกันนี้ สิ่งที่ประชาชนได้ประมวลภาพจากขบวนการยืนหยัดต่อสู้แห่งอาชูรอ การเคลื่อนไหวดังกล่าวนี้นับว่าเป็นความพยายามเพื่อที่จะทำให้บรรลุอุดมคติและความใฝ่ฝันดังกล่าวเช่นเดียวกัน
มหาตมะคานธี กล่าวว่า “ฉันได้อ่านชีวประวัติของท่านอิมามฮุเซน ชะฮีด (ผู้พลีชีพในหนทางของพระเจ้า) ผู้ยิ่งใหญ่อย่างละเอียด และฉันได้พิจารณาใคร่ครวญประวัติศาสตร์ของเหตุการณ์แห่งกัรบาลาอย่างถี่ถ้วน จนเป็นสิ่งที่กระจ่างชัดสำหรับฉันแล้วว่า หากประเทศอินเดียต้องการที่จะเป็นผู้ชนะแล้ว จำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามท่านอิมามฮุเซน”
(หนังสือ บัรชัฏฏี อาซ ฮะมอเซะฮ์ วะ ฮุฎูร, หน้าที่ 283, อ้างจากนิตยสาร “บะซออิร” ฉบับที่ 7และ 8, ตีพิมพ์พิเศษสำหรับเดือนมุฮัรร็อม, หน้าที่ 25)
ขบวนการต่อสู้แห่งอาชูรอได้สอนบทเรียนแห่งความเชื่อมั่นต่อศาสนา การเสียสละ ความกล้าหาญ ความมั่นคงเด็ดเดี่ยว การญิฮาด (ต่อสู้) ในหนทางของพระผู้เป็นเจ้า การกำชับความดีและการห้ามปรามความชั่ว จิตวิญญาณในการยืนหยัดเผชิญหน้าและการไม่ยอมก้มหัวให้กับบรรดาผู้ปกครองผู้กดขี่ให้แก่บรรดามุสลิม และได้แนะนำบรรดาผู้ปฏิบัติตามแนวทางของอะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) ในฐานะผู้ให้การพิทักษ์ปกป้องศาสนาของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ที่แข็งแกร่งและมีความกระตือรือร้นมากที่สุด บรรดานักต่อสู้และบรรดาผู้นำของชีอะฮ์ในตลอดหน้าประวัติศาสตร์ของขบวนการเคลื่อนไหวต่างๆ พวกเขาได้สร้างฉากต่างๆ อันน่ามหัศจรรย์เกี่ยวกับความเด็ดเดี่ยว ความกล้าหาญ การเสียสละและการพลีอุทิศของตนเอง และหัวใจของพวกเขาไม่เคยมีความเกรงกลัวและหวาดหวั่นต่ออำนาจของผู้ปกครอง และไม่เคยยอมจำนนต่อระบอบการปกครองที่กดขี่และเผด็จการใดๆ ทั้งสิ้น
ท่านอิมามฮุเซน (อ.) ได้ทำให้การตื่นตัวแผ่ขยายออกไปอย่างกว้างขวางในหมู่มวลมุสลิม ในความเป็นจริงแล้วท่านอิมามฮุเซน (อ.) คือผู้ปลุกประชาชนให้ตื่นตัวขึ้นเป็นคนแรกของโลก
และนี่คือสำนักคิดแห่งอาชูรอและมุฮัรรอม แนวคิดที่ยังคงมีชีวิตอยู่ ที่เป็นแรงบันดาลใจและมีอิทธิพลต่อการปฏิวัติอิสลามและขบวนการเคลื่อนไหวอื่นๆ ในโลก อย่างเช่น กระแสการตื่นตัวในโลกอิสลามที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้
ด้วยการพินิจใคร่ครวญในเรื่องราวการยืนหยัดต่อสู้ของท่านอิมามฮุเซน (อ.) เราจะประจักษ์ว่าขบวนการต่อสู้ของท่านอิมามฮุเซน (อ.) นั้นมีหลักการสำคัญสามประการในการต่อสู้กับบรรดาผู้ปกครองที่กดขี่ คือ การย้อนกลับสู่อัตลักษณ์แห่งอิสลาม เสรีภาพและความเป็นเสรีชน และการที่ประชาชนได้ปฏิบัติตามแบบอย่างของการยืนหยัดต่อสู้ของท่านอิมามฮุเซน (อ.) หัวหน้าของบรรดาชะฮีด (ผู้พลีชีพในหนทางของพระผู้เป็นเจ้า) ในเหตุการณ์แห่งอาชูรอนั้น เท่ากับพวกเขาได้เริ่มต้นการยืนหยัดต่อสู้กับบรรดาผู้ปกครองที่อธรรมเพื่อย้อนกลับมาสู่อัตลักษณ์แห่งอิสลาม เสรีภาพและความเป็นเสรีชน การที่ประชาชนในภูมิภาคตะวันออกกลางได้มองเห็นการยืนหยัดต่อสู้ของประชาชนชาวอิหร่านและการบรรลุสู่ความสำเร็จและความเจริญก้าวหน้าของมัน ซึ่งนั่นก็คือการยึดเอาแบบอย่างมาจากการยืนหยัดต่อสู้แห่งอาชูรอ และพวกเขาได้เห็นถึงเกียรติยศศักดิ์ศรีและพลังอำนาจของประเทศนี้ และทำนองเดียวกันนี้ จากการได้เห็นถึงการยืนหยัดเผชิญหน้ากับมหาอำนาจแห่งโลก และการไม่ยอมก้มหัวให้กับจอมอหังการแห่งโลกของประชาชนชาวอิหร่าน ทำให้พวกเขาประจักษ์ถึงข้อเท็จจริงประการหนึ่งว่า การปฏิบัติตามการยืนหยัดต่อสู้แห่งอาชูรอเท่านั้นที่จะสามารถทำให้พวกเขารอดพ้นจากอุ้งเล็บของบรรดาผู้ปกครองเผด็จการ และการตกเป็นทาสของบรรดามหาอำนาจของโลกได้ และจะขับเคลื่อนพวกเขาไปสู่อัตลักษณ์แห่งอิสลามและความเป็นมนุษย์ที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี
คลื่นลูกใหม่ของการตื่นตัวของอิสลามที่ได้เกิดขึ้นในกลุ่มประเทศอาหรับ และได้สร้างความสั่นคลอนให้เกิดขึ้นกับรากฐานของระบอบการปกครองที่เป็นเผด็จการและกดขี่และเป็นผู้ที่ก้มหัวให้กับตะวันตก และได้ทำให้ระบอบการปกครองเหล่านั้นต้องล่มสลายลงติดตามกันไปทีละประเทศ แม้ว่าในสภาวะเงื่อนไขต่างๆ ในปัจจุบันนี้จะเริ่มต้นขึ้นจากประเทศตูนิเซียและลุกลามไปสู่ประเทศอื่นๆ อย่างเช่น อียิปต์ ลิเบีย เยเมน บาห์เรนและในอีกหลายๆ ประเทศเช่น ซาอุดีอาระเบีย จอร์แดน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวตและประเทศอื่นๆ ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการก่อตัว แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้วขบวนการเคลื่อนไหวและการตื่นตัวของอิสลามเหล่านี้ได้รับแบบอย่างมาจากการปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน ซึ่งเป็นการปฏิวัติที่ยึดถือแบบอย่างมาจากการยืนหยัดต่อสู้ของท่านอิมามฮุเซน (อ.) และบรรดาผู้ช่วยเหลือของท่านนั่นเอง
การปฏิวัติและโมเดลการปกครองแบบอิสลามที่ท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) ได้วางรากฐานไว้นั้น มีรากฐานที่มาจากวัฒนธรรมและคำสอนดังเดิมต่างๆ ของอิสลามที่มีปรากฏอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งเป็นธรรมนูญแห่งการดำเนินชีวิตของชาวมุสลิม และยิ่งไปกว่านั้นคือเป็นของมวลมนุษยชาติ ในบรรดาฮะดีษ (วจนะ) และชีวประวัติของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) และและบรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ (อ.) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในขบวนการยืนหยัดต่อสู้แห่งอาชูรอ จำนวนที่เพิ่มมากขึ้นของขบวนการปฏิวัติและการยืนหยัดต่อสู้เพื่อเรียกร้องเสรีภาพและการปลดปล่อยทั้งหลายที่เกิดขึ้นหลังจากปี ฮ.ศ.ที่ 60 นั้น ล้วนแล้วแต่ได้รับอิทธิพลมาจากการปฏิวัติในแผ่นดินกัรบาลาทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น การปฏิวัติต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคมในประเทศอินเดียภายใต้การนำของมหาตะมะคานธี ซึ่งตัวท่านมหาตะมะคานธีได้ยอมรับในข้อเท็จจริงนี้เองที่ว่า ท่านได้เรียนรู้จากบทเรียนแห่งการต่อสู้และหนทางสู่อิสรภาพจากท่านอิมามฮุเซน (อ.) และขบวนการยืนหยัดต่อสู้ของท่าน ด้วยเหตุนี้เอง ขบวนการเคลื่อนไหวและการตื่นตัวของอิสลามที่เกิดขึ้นในประเทศอิหร่านในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมาและนำไปสู่การสถาปนารัฐอิสลาม ซึ่งในปัจจุบันกำลังก่อตัวขึ้นทั่วกลุ่มประเทศอาหรับและโลกอิสลาม และมีรากฐานที่มาจากวัฒนธรรมคำสอนของอิสลาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากขบวนการต่อสู้แห่งอาชูรอ และบรรดาผู้นำขบวนการเคลื่อนไหวเหล่านั้นได้ปฏิบัติตามแบบอย่างของท่านอิมามฮุเซน (อ.) และเรียนรู้การยืนหยัดต่อสู้กับความอธรรมและการกดขี่จากการปฏิวัติแห่งอาชูรอและอิมามฮุเซน (อ.) ผู้นำของบรรดาเสรีชนแห่งโลก
ท่านอิมามฮุเซน (อ.) อยู่ในช่วงยุคสมัยที่ผู้อธรรมและกดขี่คนหนึ่งได้คุมชะตากรรมต่างๆ ของสังคมอิสลามไว้ในอำนาจและการปกครองของเขา และเรียกตัวเองว่าผู้ปกครองและเป็นค่อลีฟะฮ์ของปวงชนมุสลิม และได้ปกครองไปตามความต้องการของอารมณ์ฝ่ายต่ำและความใคร่ของตน โดยไม่คำนึงถึงหลักการและบทบัญญัติต่างๆ ของศาสนาและแบบฉบับ (ซุนนะฮ์) ของท่านศาสทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) อีกทั้งได้สร้างอุตริกรรม (บิดอะฮ์) จำนวนมากมายขึ้น เขาพยายามที่จะบีบบังคับให้ท่านอิมามฮุเซน (อ.) ยอมให้สัตยาบัน (บัยอัต) กับเขา ซึ่งเท่ากับเป็นการยอมรับในความชอบธรรมของพฤติกรรมต่างๆ ที่ไม่ใช่อิสลามและผิดมนุษย์ของตน ซึ่งจะทำให้รากฐานการปกครองที่อธรรมและกดขี่ของตนเกิดความมั่นคงแข็งแกร่งขึ้น แต่บุตรชายของซะฮ์รอ (อ.) ผู้ซึ่งได้เห็นแล้วว่าศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าและบทบัญญัติของอิสลามกำลังจะถูกบิดเบือน และสิทธิอันชอบธรรมของประชาชนกำลังถูกย่ำยี ท่านจึงรู้ถึงหน้าที่รับผิดชอบ และเห็นว่าเป็นหน้าที่จำเป็นสำหรับตนเองที่จะต้องยืนหยัดเผชิญหน้ากับบุคคลเช่นนี้ เพื่อพิทักษ์ปกป้องศาสนาและสิทธิอันชอบธรรมของประชาชน แม้ว่าตัวเองและบรรดาผู้ช่วยเหลือจะต้องเป็นชะฮีด (พลีชีพ) และครอบครัวของท่านจะตกเป็นเชลยก็ตาม
ยะซีดเรียกร้องจากท่านอิมามฮุเซน (อ.) ในสิ่งเดียวกันกับที่ในวันนี้บรรดาผู้ปกครองผู้กดขี่ได้เรียกร้องจากประชาชนของพวกเขา นั้นคือ การยอมจำนนต่อความต้องการที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมและขัดกับบทบัญญัติของศาสนาของพวกเขา ท่านอิมามฮุเซน (อ.) ได้ยืนหยัดขึ้นเผชิญหน้าอุตริกรรม (บิดอะฮ์) ต่างๆและความต้องการที่ขัดแย้งกับบทบัญญัติทั้งหลายของยะซีด และด้วยกับการยืนหยัดต่อสู้ของท่านนี้ ท่านได้สอนบทเรียนแห่งเสรีภาพและการตื่นตัวแก่มนุษย์ผู้รู้จักหน้าที่รับผิดชอบและผู้เรียกร้องหาสิทธิเสรีภาพทั้งมวล และท่านได้ชี้แก่มนุษยชาติให้เห็นถึงหนทางแห่งการปลดปล่อยตนเองและการหลุดพ้นออกจากการปกครองแบบเผด็จการและการครอบงำของมหาอำนาจ
ในจดหมายที่ท่านอิมามฮุเซน (อ.) ส่งถึงมุฮัมมัด ฮะนะฟียะฮ์น้องชายของท่าน ท่านได้อธิบายถึงเป้าหมายต่างๆ ในการยืนหยัดต่อสู้และการปฏิวัติของท่าน เพื่อจะได้จดบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ และเพื่อให้บรรดาเสรีชนในอนาคตได้รับรู้และทำให้เจตนารมณ์ต่างๆ เหล่านี้บรรลุผล และในการต่อสู้กับความอยุติธรรมและการกดขี่นั้น พวกเขาจะได้เอาการปฏิวัติแห่งกัรบาลาของท่านมาเป็นแบบอย่างในการยึดถือปฏิบัติ
ในช่วงเวลานี้บรรดาผู้ปกครองที่ไร้ความสามารถและอยู่ในเครือข่ายของต่างชาตินั้น ส่วนใหญ่เป็นคนชั่วร้ายและเป็นผู้อธรรม พวกเขาได้ปกครองและครอบงำเหนือชะตากรรมของประชาชน กองคลัง (บัยตุ้ลมาล)และทรัพย์สินสาธารณะของชาวมุสลิม ซัยนุลอาบิดีน บินอะลี, ฮ็อสนี มุบาร็อก และมุอัมมัร ก็อดดาฟี ในด้านศีลธรรม พฤติกรรมส่วนตัวและแนวทางการปกครอง ในหลายกรณีพวกเขาเป็นเหมือนเช่นยะซีด และบรรดาผู้ปกครองคนอื่นๆ อย่างเช่น อาลิคอลีฟะฮ์, อาลิซะอูด, อาลิซอและห์ และบุคคลอื่นๆ ก็มีความคล้ายคลึงกันอย่างมากเช่นเดียวกันกับยะซีด ซึ่งพวกเขาไม่ได้ยึดมั่นต่อสัญลักษณ์ต่างๆ ของอิสลาม ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลไซออนิสต์และอเมริกา แปดเปื้อนไปด้วยเลือดของประชาชนในประเทศของพวกเขาเอง มีความละโมบและหื่นกระหายในทรัพย์สินและความมั่งคั่งของชาติและกองคลัง (บัยตุ้ลมาล) ของบรรดามุสลิม และยังประพฤติปฏิบัติสิ่งที่เป็นการละเมิดต่อบทบัญญัติของอิสลามและขัดแย้งกับศีลธรรมของความเป็นมนุษย์ และในทำนองนี้อีกเป็นร้อยๆ ประการ ในตูนิเซียนั้น บินอะลีได้ห้ามการนมาซวันศุกร์ การคลุมฮิญาบในที่ทำงานต่างๆ และในมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งถือว่าเป็นความผิด และบุคคลอื่นๆ ก็มีพฤติกรรมต่างๆ ที่คล้ายคลึงกับเขาเช่นเดียวกัน
เกือบหนึ่งปีแล้วที่ประชาชนมุสลิมชาวอาหรับได้ตื่นตัวขึ้นมาด้วยแรงบันดาลใจจากขบวนการยืนหยัดต่อสู้แห่งอาชูรอ และพวกเขาได้ยืนหยัดต่อสู้และทัดทานความต้องการต่างๆ ที่ขัดแย้งกับบทบัญญัติศาสนาและการบริหารปกครองที่ไร้ความชอบธรรมของบรรดาผู้ปกครองที่ชั่วร้ายด้วยความกล้าหาญอย่างแท้จริง ประชาชนมุสลิมผู้ปฏิวัติชาวตูนิเซีย อียิปต์และลิเบียได้รับชัยชนะเหนือระบอบการปกครองต่างๆ ที่ไม่ได้มาจากประชาชนและเป็นระบอบการปกครองที่ต่อต้านศาสนาของพวกเขา และพวกเขากำลังจะสถาปนาระบอบการปกครองใหม่ของตนเองบนพื้นฐานข้อบัญญัติต่างๆ ของอิสลาม ด้วยการลงคะแนนเสียงของสาธารณชน ซึ่งสิ่งนี้คือผลสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ และเป็นของขวัญจากพระผู้เป็นเจ้า
บรรดามุสลิมในโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนชาวอาหรับ ซึ่งวันนี้พวกเขาได้ยืนหยัดขึ้นและกำลังต่อสู้ทัดทานต่อความอธรรมต่างๆ ของบรรดารัฐบาลที่ก้มหัวให้กับตะวันตก ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาได้ปฏิบัติตามแบบอย่างของท่านอิมามฮุเซน (อ.) และได้เรียนรู้บทเรียนแห่งการปฏิวัติและการยืนหยัดต่อสู้จากขบวนการต่อสู้แห่งอาชูรอ วันนี้การยอมรับแบบอย่างอื่นๆ ที่ไม่ใช่แบบอย่างแห่งอาชูรอของท่านอิมามฮุเซน (อ.) นั้น ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพการณ์อันแสนอัปยศของชาวมุสลิมได้ และไม่อาจที่จะนำพาพวกเขาไปสู่ความดีงาม การแก้ไขปรับปรุงและทางนำได้
ท่านอิมามฮุเซน (อ.) ได้แสดงนำเสนอแบบอย่างของการปฏิวัติและแนวทางที่ทรงประสิทธิภาพแก่บรรดาชาวโลกสำหรับการต่อสู้กับบรรดาผู้ปกครองที่กดขี่และเผด็จการ ยุคสมัยใดก็ตามที่บรรดามุสลิมต้องประสบกับบรรดาปกครองที่กดขี่ ในการต่อสู้กับผู้ปกครองเหล่านั้นพวกเขาจะยึดเอาการยืนหยัดต่อสู้และการปฏิวัติของท่านอิมามฮุเซน (อ.) เป็นแบบอย่าง และด้วยกับแรงบันดาลใจจากอาชูรอของท่านอิมามฮุเซน(อ.) นี่เองที่พวกเขาจะยืนหยัดขึ้นต่อสู้และได้รับชัยชนะเหนือบรรดาผู้ปกครองที่อธรรมและเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนเอง แต่ถ้าหากพวกเขากลัวการต่อสู้และความตาย หรือเลือกเอาแนวทางการประนีประนอมและการยอมจำนนต่อบรรดาผู้กดขี่แล้ว พวกเขาก็จะประสบกับความต่ำต้อยและความอัปยศอดสู
นับเป็นระยะเวลายาวนานหลายปีที่บรรดามุสลิมในกลุ่มประเทศอาหรับ ถูกปกครองโดยผู้ปกครองที่กดขี่และไร้คุณสมบัติและเป็นเบี้ยของประเทศอื่น ได้ครอบงำอยู่เหนือชะตากรรมของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในศตวรรษที่ผ่านมา การกดขี่ การพึ่งพาประเทศอื่นและการไร้คุณสมบัติของพวกเขาได้มาถึงจุดสูงสุด และในความเป็นจริงแล้ว รัฐบาลทั้งหลายของพวกเขาได้กลายเป็นตัวแทนของบรรดาประเทศตะวันตกและยุโรปไปเสียแล้ว ในการบริหารกิจการต่างๆ ส่วนใหญ่ของประเทศของตนนั้น พวกเขาได้รับคำสั่งจากต่างชาติ และบนพื้นฐานของคำสั่งต่างๆ จากต่างชาตินี่เองที่พวกเขาได้จัดระบบระเบียบในการบริหารประเทศของตัวเอง และในทางปฏิบัตินั้นพวกเขาได้กลายเป็นผู้สนองตอบและผู้จัดหา (ซัพพลายเออร์)พลังงานและวัตถุดิบต่างๆ ซึ่งเป็นที่ต้องการของบรรดาบริษัทผู้ผลิตและผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของประเทศของพวกเหล่านั้น โดยที่การกำหนดราคาของวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ต่างๆ อยู่ในดุลพินิจและอำนาจของบรรดาเจ้านายชาวต่างชาติเพียงเท่านั้น ไม่มีสภาพใดที่จะเลวร้ายสำหรับบรรดาประเทศอิสลามและอาหรับที่จะจินตนาการและอดทนได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณและความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า ที่ทำให้บรรดามุสลิมได้มีการพัฒนาและมีความรู้เข้าใจถึงในระดับที่สามารถรับรู้ถึงแผนการและข้อตกลงต่างๆ ที่เป็นความลับของบรรดาผู้ปกครองและได้เห็นการทรยศต่างของรัฐบาลของพวกเขา และด้วยกับแรงบันดาลใจจากอาชูรอและการปฏิบัติตามท่านอิมามฮุเซน (อ.) ทำให้พวกเขาได้สร้างขบวนการตื่นตัวแห่งอิสลามขึ้นเพื่อปลดปล่อยตนเองจากสภาพที่เลวทราม และการเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของพวกเขาโดยที่พวกเขาได้บรรลุผลต่างๆ ที่ดีงาม และให้ความหวังอย่างมากกับบรรดามุสลิมในประเทศต่างๆ อย่างเช่น ตูนิเซีย อียิปต์ ลิเบียและอื่นๆ ที่ได้ประสบชัยชนะแล้ว และในอีกหลายๆ ประเทศ อย่างเช่น เยเมน บาห์เรนและอื่นๆ ที่กำลังจะถึงเส้นชัย และในประเทศอื่นๆ ที่เหลือนั้นขบวนการตื่นตัวแบบอิสลามก็กำลังจะก่อรูปขึ้นเช่นเดียวกัน แม้แต่ในประเทศต่างๆ ของโลกก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของขบวนการเคลื่อนไหวตื่นตัวของอิสลามเช่นเดียวกัน และพวกเขาได้ยืนหยัดขึ้นต่อต้านรัฐบรรดาบาลที่ชั่วช้าและเป็นผู้สนับสนุนกลุ่มนายทุน และได้ก่อให้เกิดขบวนการ 99% ขึ้นมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อบรรดาประเทศตะวันตกและยุโรปจำนวนมาก และกำลังจะนำไปสู่การล่มสลาย
เป็นระยะเวลานับร้อยปีทีที่ประชาชาติมุสลิมทั้งหลายในภูมิภาคนี้ ที่พวกเขาต้องตกอยู่ภายใต้ความอธรรมและการกดขี่ของบรรดารัฐบาลในเครือข่ายของตะวันตกและอิสราเอล ตลอดเวลาพวกเขาต้องตกอยู่ภายใต้การดูถูกเหยียดหยามและการทำลายเกียรติที่รุนแรงที่สุด และตลอดเวลาที่เกียรติยศและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขาต้องถูกเหยียบย่ำ แต่ด้วยกับการตื่นตัวแห่งอิสลามที่ประชาชาติได้เรียกร้องเกียรติยศและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ และในฐานะที่ท่านอิมามฮุเซน (อ.) เป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดของศักดิ์ศรี ความเป็นเสรีชน และความดีงามต่างๆ แห่งความเป็นมนุษย์ พวกเขาจึงถือว่าท่านคือแบบอย่างที่ชัดเจนและทรงคุณค่าในด้านของความมั่นคงเด็ดเดี่ยวและการพลีอุทิศตน และด้วยกับการปฏิบัติตามคำสอนต่างๆ ของขบวนการต่อสู้อันยิ่งใหญ่ของท่านอิมาม (อ.) นี่เองที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างมากมายในโลก
การต่อสู้กับความอธรรมและการกดขี่ของบรรดาผู้ปกครองที่ชั่วร้าย แม้จะมีกำลังจำนวนน้อยนิดและมีปัจจัยอำนวยความสะดวกที่ไม่มากก็ตาม แต่ทว่าด้วยกับความศรัทธาที่แข็งแกร่งและการพึ่งพิงต่อการช่วยเหลือของพระผู้เป็นเจ้าและพลังแห่งศรัทธาและจิตวิญญาณในการพลีชีพ (ชะฮาดัต) ในหนทางของพระผู้เป็นเจ้า มันคือบทเรียนหนึ่งซึ่งนับจากช่วงเวลาอันไกลโพ้นที่บรรดานักต่อสู้ในหนทางของพระผู้เป็นเจ้าได้รับมาจากการขบวนการยืนหยัดต่อสู้แห่งอาชูรอ เช่นเดียวกับการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน ซึ่งประชาชนไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปจากลัทธิเผด็จการและลัทธิล่าอาณานิคมพวกเขา จึงได้ออกมาสู่สนามด้วยมือเปล่า แต่ทว่าด้วยกับอาวุธแห่งศรัทธา (อีหม่าน) และความเชื่อมั่นในการช่วยเหลือของพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาได้ยืนหยัดขึ้นเผชิญหน้ากับรัฐบาลในเครือข่ายของมหาอำนาจที่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ทางสงครามที่ทันสมัยที่สุดอยู่ในมือ และด้วยกับการเปล่งคำขวัญ "อัลลอฮุอักบัร" และด้วยจิตวิญญาณแห่งการแสวงหาความเป็นชะฮีด (พลีชีพในหนทางของพระผู้เป็นเจ้า) นั่นเองที่พวกเขาได้รีบเร่งออกไปต่อสู้กับบรรดาสมุนของมหาอำนาจโดยไม่หวั่นกลัวต่อความตาย พวกเขาได้ต่อสู้กับมือแห่งความอธรรมและได้ขับไล่บรรดาผู้ปกครองเผด็จการและบรรดาผู้ปล้นสะดมของนักล่าอาณานิคมออกไปจากประเทศได้สำเร็จ และขณะนี้เราจะเห็นได้ว่าประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้ และด้วยกับการปฏิบัติตามการปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน พวกเขาก็กำลังย่างก้าวไปในเส้นทางเดียวกันนั้นเพื่อที่จะโค่นล้มรัฐบาลที่กดขี่และเป็นเผด็จการทั้งหลาย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วได้รับอิทธิพลมาจากการปฏิวัติแห่งอาชูรอของท่านอิมามฮุเซน (อ.) นั่นเอง
ในการยืนหยัดต่อสู้ของบรรดามุสลิมในภูมิภาคตะวันออกกลางนั้น เราจะเห็นได้ว่าเมื่อบรรดาเยาวชนและประชาชนผู้เป็นเสรีชนชาวตูนิเซีย อียิปต์และลิเบีย ไม่อาจอดทนต่อการกดขี่ของรัฐบาลและทรราชแห่งยุคสมัยของตน พวกเขาได้ยืนหยัดขึ้นต่อสู้กับทรราชแห่งยุคสมัยเหล่านั้นด้วยมือเปล่า แต่ด้วยจิตวิญญาณแห่งอิสลามและความมุ่งหวังในการเป็นชะฮีด (พลีชีพในหนทางของพระผู้เป็นเจ้า) และสามารถโค่นล้มทรราชเหล่านั้นลงได้ ทำให้การยืนหยัดต่อสู้ของพวกเขากลายเป็นแบบอย่างสำหรับการยืนหยัดต่อสู้ของประชาชนในประเทศอื่นๆ แม้แต่ในยุโรปและอเมริกา ซึ่งบรรดาผู้ประท้วงคัดค้านในวอลสตรีทก็เช่นกัน พวกเขาถือว่าการยืนหยัดต่อสู้ของพวกเขานั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากจัตุรัส ”อัตตะห์รีร” (แห่งอียิปต์) และพวกเขาได้กู่ก้องร้องตะโกนและกล่าวซ้ำคำขวัญแบบเดียวกัน
การเน้นย้ำของบรรดาผู้ประท้วงในวอลสตรีทถึงประเด็นที่ว่า พวกเขาได้ยึดถือแบบอย่างมาจากจัตุรัสอัตตะห์รีรและใช้คำขวัญ (สโลแกน) ต่างๆ แบบเดียวกับที่ประชาชนในจัตุรัสอัตตะห์รีรได้เปล่งตะโกนนั้น เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงการรับอิทธิพลและแบบอย่างจากขบวนการเคลื่อนไหวต่างๆ แห่งอิสลาม ซึ่งแหล่งที่มาของมันนั้นสามารถค้นหาได้ในขบวนการต่อสู้แห่งอาชูรอของท่านอิมามฮุเซน (อ.) มันคือการยืนหยัดต่อสู้ที่มิได้จำกัดอยู่เฉพาะสำหรับชาวชีอะฮ์หรือบรรดามุสลิมเพียงเท่านั้น แต่มันคือแบบอย่างสำหรับบรรดาเสรีชนในโลกทั้งมวล
สามารถกล่าวได้อย่างภาคภูมิว่า การยืนหยัดต่อสู้แห่งอาชูรอคือประทีปที่ส่องสว่างสำหรับชาวชีอะฮ์และบรรดามุสลิมทั้งมวล และเป็นต้นแบบสำหรับการยืนหยัดต่อสู้ของบรรดาผู้เรียกร้องหาเสรีภาพในโลกทั้งมวล
ด้วยอิทธิพลต่างๆ ของการยืนหยัดต่อสู้แห่งอาชูรอที่มีผลกระทบต่อขบวนการยืนหยัดต่อสู้ของประชาชาติทั้งหลายนั้น สามารถชี้ให้เห็นถึงความหวังในการย้อนกลับคืนมาของอัตลักษณ์แห่งอิสลามของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) ได้เป็นอย่างดี ท่านอัลลามะฮ์ชะฮีด ซัยยิดฮะซัน ชีราซี ได้กล่าวว่า "ท่านอิมามฮุสเซน (อ.) สามารถแยกแยะอำนาจการปกครอง (คิลาฟะฮ์) ที่เบี่ยงเบนออกไปจากอิสลามได้สำเร็จ และได้กระชากหน้ากากและเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของบนีอุมัยยะฮ์ จนกระทั่งทำให้ประชาชนได้เข้าใจว่าอำนาจการปกครอง (คิลาฟะฮ์) ของบนีอุมัยยะฮ์นั้นคือการปกครองแบบญาฮิลียะฮ์ (สภาพความงมงายของอาหรับก่อนการมาของอิสลาม) ที่สวมเสื้อคลุมแห่งอิสลามนั่นเอง ด้วยวิธีดังกล่าวทำให้ประชาชนได้ประจักษ์ว่าระบบการปกครองของราชวงศ์อุมัยยะฮ์ก็คือการปกครองที่กดขี่อย่างหนึ่งซึ่งไม่มีส่วนสัมพันธ์ใดๆ ต่ออิสลามเลย ด้วยผลแห่งการยืนหยัดต่อสู้ของท่านอิมามฮุเซน (อ.) นี่เองที่ทำให้เนื้อแท้ของบรรดาผู้ปกครองทั้งหมดภายหลังจากท่านอิมาม (อ.) และยิ่งไปกว่านั้นเนื้อแท้ของบรรดาผู้ปกครอง (คอลีฟะฮ์) ก่อนหน้าท่านก็ได้ถูกเปิดเผย และด้วยเหตุนี้เองบรรดาผู้ปกครอง (คอลีฟะฮ์) คนอื่นๆ จากราชวงศ์อุมัยยะฮ์ อับบาซียะฮ์และอุสมานียะฮ์ จึงไม่สามารถกระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมของตนเองในนามของอิสลามได้อีก”
ในขณะนี้เราจะเห็นได้ว่าบรรดาประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้ ทั้งๆ ที่มีความเบี่ยงเบนออกจากอิสลามอย่างมากมายปรากฏให้เห็นทั้งในภาครัฐและในหมู่ผู้ปกครองของพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังคงกล่าวอ้างว่าเป็นการดำเนินบทบัญญัติแห่งอิสลาม แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้วมันใช่เช่นนั้นหรือไม่? บรรดาผู้ปกครองที่ตั้งฉายาตัวเองว่าเป็นผู้รับใช้ฮะรัมอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองแห่ง (คอดิมุลฮะร่อมัยน์) แต่กลับกระทำการต่างๆ ที่เป็นการทรยศต่ออิสลามและชาวมุสลิมอย่างมากมาย บรรดาผู้ปกครองที่กระทำสิ่งที่ขัดแย้งต่อบทบัญญัตินับเป็นพันๆ เรื่องด้วยชื่อของอิสลาม ยะซีดเองก็เรียกตัวเองว่าอะมีรุลมุอ์มินีน (ผู้นำของปวงศรัทธาชน) แต่การกระทำต่างๆ ของเขาไม่ได้มีสัญลักษณ์ใดๆ ของอิสลามปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย และท่านอิมามฮุเซน (อ.) ก็ได้ยืนหยัดขึ้นเพื่อพิทักษ์ปกป้องศาสนาของท่านศาสดามุฮัมมัด มุสฏอฟา (ซ็อลฯ) ให้ดำรงอยู่ต่อไป อันเป็นศาสนาซึ่งถือว่าการยอมก้มหัวให้กับสิ่งอื่นจากพระผู้เป็นเจ้านั้นคือการตั้งภาคี ทำนองเดียวกับที่อิสลามได้ห้ามบรรดาผู้ปกครองจากการกดขี่และการล่วงละเมิดต่อประชาชน อิสลามถือว่าเกียรติและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์นั้นคือสิ่งที่จำเป็นต้องหวงแหนและต้องได้รับการพิทักษ์รักษาไว้เหนือกว่าสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น
ประชาชนในภูมิภาคตะวันออกกลางได้เห็นแล้วว่า บรรดาผู้ปกครองของพวกเขาได้ยอมสยบต่อความต้องการของบรรดามหาอำนาจของโลกและบรรดารัฐบาลที่อธรรมอย่างเช่นรัฐบาลไซออนิสต์อย่างไร และได้นำเอาเกียรติศักดิ์ศรีของประชาชนของตัวเองไปขึ้นเขียงของของบรรดามหาอำนาจเหล่านี้อย่างไร จึงทำให้พวกเขาต้องยืนหยัดขึ้นด้วยการยึดถือเอาแบบอย่างจากการยืนหยัดต่อสู้ของท่านอิมามฮุเซน (อ.) ด้วยการหยุดยั้งการถดถอยของคุณค่าต่างๆ แห่งอิสลาม และการสถาปนารัฐบนพื้นฐานของอิสลามที่แท้จริงขึ้น เพื่อนำเอาอัตลักษณ์ของศาสนาและของอิสลามของตนเองกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง และพวกเขาได้โค่นล้มบรรดาผู้ปกครองที่เป็นทาสรับใช้ชาวต่างชาติลงทีละคนๆ วันนี้ประชาชนมุสลิมของอียิปต์และที่อื่นๆ เมื่อได้เห็นชาวปาเลสไตน์เกลือกกลิ้งอยู่ในกองเลือด และได้เห็นกำแพงที่ขวางกันระหว่างพวกเขากับปาเลสไตน์ซึ่งทำให้เกียรติและความภาคภูมิใจของพวกเขาต้องถูกทำลายลง สภาพดังกล่าวนี้สำหรับชาวอียิปต์และประเทศอาหรับอื่นๆ นั้น มันคือความภาคภูมิที่ถูกทำลาย และจุดนี้เองพวกเขาจึงได้แสดงตัวตนออกมาในรูปของขบวนการตื่นตัวแห่งอิสลาม
จิตวิญญาณแห่งการแสวงหาเกียรติยศศักดิ์ศรี และการไม่ยอมอ่อนข้อให้กับการกดขี่และความชั่วร้ายของท่านอิมามฮุเซน (อ.) ด้วยกับคำขวัญที่ว่า “ความต่ำต้อยช่างห่างไกลจากเราเสียนี่กระไร” ได้กลายเป็นสัญลักษณ์
ปัจจุบันในอีกด้านหนึ่งนั้น คำขวัญของชาวชีอะฮ์ในบาห์เรนและในซาอุดิอาระเบียคือ هیهات منا الذلة (ความต่ำต้อยและความอัปยศอดสูช่างห่างไกลจากเราเสียนี่กระไร) และในทางปฏิบัติก็เช่นกันเราจะเห็นได้ว่า แม้จะมีอาชญากรรมและการปราบปรามต่างๆ เกิดขึ้นด้วยวิธีการและรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของประชาชนชาวบาห์เรน แต่กระนั้นก็ตามพวกเขาก็ไม่ละมือจากข้อเรียกร้องต่างๆ ของตนเอง และยังคงยืนหยัดต่อสู้กับความอธรรมและเผด็จการที่ครอบงำเหนือพวกเขาต่อไป ความพร้อมที่จะเป็นชะฮีด (พลีชีพในหนทางของพระผู้เป็นเจ้า) ของประชาชนในการยืนหยัดต่อสู้ในภูมิภาคนั้น เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ได้รับอิทธิพลและแรงบันดาลใจ มาจากการยืนหยัดต่อสู้ของท่านอิมามฮุเซน (อ.) บรรดาประชาชนผู้ซึ่งแม้จะมีการปราบปราม การเข่นฆ่าสังหาร การจับกุมคุมขังและการทรมานแต่ก็ไม่ยอมละวางจากเป้าหมายต่างๆ ของตนเองและยังคงต่อสู้ต่อไป
และเจตนารมณ์ของพวกเขาคือการจัดตั้งรัฐบาลที่วางพื้นฐานอยู่บนบรรทัดฐานและข้อบัญญัติต่างๆ ของอิสลาม ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้จะมีข่าวคราวมากมายเกี่ยวกับการฆ่า การทรมาน การทำร้ายร่างกายและการจับกุมบรรดาผู้ปฏิวัติ หรือแม้แต่บุคคลในครอบครัวของพวกเขาในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศบาห์เรน ที่ถูกตีแผ่ตามสื่อต่างๆ และอาชญากรรมทั้งหลายที่บรรดาผู้ปกครองที่กดขี่และเผด็จการของประเทศเหล่านี้ได้กระทำกับประชาชนของพวกเขาด้วยกับวิธีการต่างๆ แต่ทว่าไม่เพียงแต่ไฟแห่งการปฏิวัติไม่มอดดับลงแล้ว แต่ด้วยกับเลือดของบรรดาชะฮีดของพวกเขานี่เองที่ทำให้ไฟแห่งการยืนหยัดต่อสู้ของพวกเขาได้ลุกโชติช่วงขึ้นกว่าเดิม ท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) ได้กล่าวในเรื่องนี้ว่า "เลือดของพวกเรานั้นเข้มข้นกว่าเลือดของซัยยิดุชชุฮะดาอ์ (ท่านอิมามฮุเซน (อ.) ผู้เป็นหัวหน้าของบรรดาชะฮีด) กระนั้นหรือ! แล้วทำไมพวกเราจะต้องกลัวต่อการที่จะเสียสละเลือด” สำนักคิดของท่านอิมามฮุเซน (อ.) คือสำนักคิดของการเป็นชะฮีด (การพลีชีพในหนทางของพระผู้เป็นเจ้า) และเลือดของเรานั้นเข้มข้นกว่าเลือดของพระผู้เป็นเจ้ากระนั้นหรือ?!
ในทำนองเดียวกัน การที่การปฏิวัติอิสลามในอิหร่านได้ไปถึงจุดสูงสุดในช่วงเดือนมุหัรรอม ในช่วงการจัดพิธีรำลึกถึงโศกนาฏกรรมแห่งอาชูรอในสถานที่ต่างๆ และในมัสยิดทั้งหลาย เราคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการยืนหยัดต่อสู้ต่างๆ ในภูมิภาคนี้จะไปถึงขีดสูงสุดในช่วงเดือนมุหัรรอมเช่นเดียวกัน ในช่วงไม่กี่วันมานี้เราได้เห็นการยืนหยัดต่อสู้ของบรรดาชีอะฮ์ในประเทศซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นเหตุนำไปสู่การเป็นชะฮีดของบรรดาเยาวชนชาวชีอะฮ์หลายคนของประเทศนี้ ประเด็นที่น่าคิดใคร่ครวญก็คือ ด้วยกับการมาถึงของเดือนมุหัรรอมและการใกล้เข้ามาของวันอาชูรอ กองกำลังรักษาความมั่นคงของซาอุดิอาระเบียได้ตัดสินใจถอนตัวออกจากอาณาเขตที่อยู่อาศัยของของชาวชีอะฮ์ และนี่ไม่ใช่อื่นใดนอกเสียจากความหวาดกลัวต่อการโหมกระพือมากยิ่งขึ้นของไฟแห่งการยืนหยัดต่อสู้นี้ในช่วงเดือนมุหัรรอม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวันอาชูรอ
ในความเป็นจริงแล้วท่านอิมามฮุเซน (อ.) คือบุคคลแรกที่ปลุกโลกอิสลามให้ตื่นขึ้น ท่านซัยยิดุชชุฮะดาอ์คือสัญลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่แห่งความเป็นมนุษย์และคือของขวัญหนึ่งจากพระผู้เป็นเจ้า เพื่อว่าด้วยสื่อของท่านนั้นแผ่นดินจะถูกชำระล้างให้สะอาดบริสุทธิ์ และการช่วยเหลือของท่านคือการดำรงไว้ซึ่งสิทธิต่างๆ ของมวลมนุษยชาติ ประทีปแห่งทางนำของท่านอิมามฮุเซน (อ.) ยังคงทำหน้าที่ชี้นำ (ฮิดายะฮ์) มนุษยชาติอยู่ตลอดเวลา และยังคงพยายามที่จะปลดปล่อยมนุษย์ให้หลุดพ้นออกจากความเผอเรอที่พวกเขากำลังประสบ การรำลึกถึงท่านอิมามฮุเซน (อ.) คือสัญลักษณ์ของการต่อสู้กับการกดขี่ การดูถูกเหยียดหยามและความต่ำต้อย และมันคือสาสน์แห่งเกียรติยศศักดิ์ศรี พรอันประเสริฐและคุณธรรมความดีต่างๆ แห่งความเป็นมนุษย์ และเป็นแบบอย่างสำหรับการปลดปล่อยมนุษย์ออกจากการถูกกดขี่และการปกครองแบบเผด็จการ และจะทำให้รากฐานต่างๆ ของความอธรรมและทรราชต้องสั่นคลอน ขบวนการเคลื่อนไหวต่อสู้ของท่านอิมามฮุเซน (อ.) คือขบวนการเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ซึ่งจะช่วยทำให้มวลมนุษย์เกิดการเปลี่ยนแปลงจากด้านใน อันเป็นการเปลี่ยนแปลงซึ่งจะมีผลกระทบและมีอิทธิพลอย่างแน่นอนต่อปัญหาต่างๆ ทางการเมืองและสังคมแห่งยุคสมัย บนพื้นฐานแนวคิดแห่งอาชูรอของท่านอิมามฮุเซน (อ.) สภาพการณ์ที่เป็นอยู่ของสังคมอิสลามในยุคสมัยนั้นมีเพียงหนทางเดียว คือการปฏิวัติจากรากฐานเท่านั้นที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองได้ และประชาชาติที่ผูกสัมพันธ์ตนเองเข้ากับขบวนการยืนหยัดต่อสู้และสำนักคิดของท่านอิมามฮุเซน (อ.) เท่านั้น ที่จะมิได้ลิ้มรสชาติของความหายนะ ความต่ำต้อยและความไร้เกียรติศักดิ์ศรี
เจตนารมณ์จากขบวนการเคลื่อนไหวแห่งอาชูรอของท่านอิมามฮุเซน (อ.) มิใช่แค่เพียงการยืนหยัดต่อสู้กับยาซีดและระบอบการปกครองของเขาเพียงเท่านั้น แต่ทว่าโดยพื้นฐานแล้วท่านอิมามฮุเซน (อ.) คือผู้คัดค้านต่อต้านการปกครองและการบริหารบ้านเมืองทั้งมวลที่มีบุคคลที่ไม่คู่ควรและเป็นผู้กดขี่เยี่ยงยะซีดที่ตั้งตัวเองอยู่บนส่วนยอดของมัน และทำหน้าที่บริหารปกครองสังคมอิสลามและบรรดามุสลิมไปตามความอำเภอใจและอารมณ์ฝ่ายต่ำของตัวเอง และด้วยเหตุนี้เองที่ท่านอิมามฮุเซน (อ.) ได้ยืนหยัดขึ้นต่อสู้และกระทำการปฏิวัติ
และบัดนี้บรรดามุสลิมในกลุ่มประเทศอาหรับ ด้วยกับปฏิบัติตามแบบอย่างของการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่านที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากขบวนการต่อสู้แห่งอาชูรอ และด้วยผลจากการปฏิบัติตามท่านอิมามฮุเซน (อ.) ที่พวกเขาได้ทำให้ขบวนการเคลื่อนไหวตื่นตัวแห่งอิสลามปรากฏขึ้น และจวบจนถึงขณะนี้พวกเขาได้บรรลุผลอันสวยงามและน่าประทับใจมากมายหลายประการ พวกเขาทำให้บรรดายะซีดแห่งยุคสมัยจำนวนมากต้องพบกับความอัปยศ บรรดาฟิรเอาน์แห่งยุคสมัยหลายคนต้องถูกโค่นลงจากอำนาจของพวกเขา ผลลัพธ์ที่ได้รับในประเทศเหล่านี้ได้สร้างความหวาดผวาต่อบรรดาผู้ปกครองที่มีคุณลักษณะคล้ายคลึงกัน และต่อบรรดาระบอบที่ต่อต้านประชาชนที่อยู่ในทั่วทุกมุมโลก และบรรดานักวิเคราะห์ทางการเมืองและบรรดาผู้ปกครองที่ได้เห็นแล้วว่าผลประโยชน์ของพวกเขากำลังตกอยู่ในอันตรายนั้น ต่างอยู่ในสภาพที่มึนงงและสับสน
บรรดาผู้นำและผู้บริหารจัดการขบวนการเคลื่อนไหวตื่นตัวแห่งอิสลาม และบรรดามุสลิมผู้ซึ่งได้ทำให้ขบวนการตื่นตัวในประเทศของพวกเขาบรรลุผล ด้วยกับการแลกด้วยเลือดของพวกเขาและของบรรดาเยาวชนของพวกเขา และได้โค่นล้มระบอบต่างๆ ที่ต่อต้านศาสนาและต่อต้านประชาชนลง พวกเขาจะต้องตระหนักและตื่นตัวอยู่เสมอ พวกเขาจะต้องรักษาและเสริมสร้างความเข้มแข็งในความเป็นเอกภาพแบบอิสลามและความสามัคคีของประชาชนไว้ให้ได้ และจะต้องหลีกเลี่ยงอย่างจริงจังจากทุกประเภทของความแตกแยก การแสวงหาอำนาจและความเห็นแก่ตัวทั้งหลาย และจะต้องไม่เผอเรอต่อแผนการร้ายและการสร้างวิกฤตการณ์ต่างๆ ของบรรดาศัตรูที่ได้รับบาดเจ็บ เพราะหากมิเช่นนั้นแล้วอาจเป็นไปได้ว่า บรรดาทายาทของเหล่าอบูญะฮัลและอบูซุฟยานทั้งหลาย ที่จะใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนเหล่านี้ของพวกเขา และตีวงล้อมกลับมายังช่องเขาอุฮุดอีกครั้ง ขอต่อพระผู้เป็นเจ้าโปรดอย่าทรงทำให้เป็นเช่นนั้นเลย ที่ว่าพวกเขาจะทำให้ชัยชนะที่ได้รับมากลับกลายเป็นความพ่ายแพ้และความทุกข์โศก และทำให้จุดจบอันแสนทุกข์ระทมของสงครามอุฮุดต้องซ้ำรอยประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง
แปลและเรียบเรียง : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ
Copyright © 2017 SAHIBZAMAN.NET- สื่อเรียนรู้อิสลามสำหรับอิสระชนคนรุ่นใหม่