“เอโดอาร์โด” เป็นทายาทเพียงคนเดียวของตระกูล “อันเญลลี” มหาเศรษฐีที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทผลิตรถยนต์ Fiat, Ferrari, Lamborghini, Lancia, Alfa Romeo และ Iveco รวมถึงโรงงานผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมหลายแห่ง ธนาคารเอกชนหลายแห่ง บริษัทออกแบบแฟชั่น นิตยสารแฟชั่น หนังสือพิมพ์และอื่นๆ อีกหลายแห่ง รวมทั้งสโมสรฟุตบอลยูเวนตุส นอกจากนี้ตระกูล Agnelli ยังเป็นผู้ถือหุ้นคนสำคัญของบริษัทรับเหมาก่อสร้าง สร้างถนน บริษัทผลิตเวชภัณฑ์และบริษัทผลิตเฮลิคอปเตอร์อีกหลายแห่ง และบรรดาผู้เชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐกิจได้ประเมินรายได้ต่อปีของตระกูลนี้ว่าสูงถึง 6 หมื่นล้านดอลลาร์
เมื่อสิบเก้าปีที่ผ่านมา ในวันเดียวกันนี้ (กลางเดือนพฤศจิกายน 2000) ชายผู้หนึ่งถูกกำจัดออกไปจากเวทีแห่งชีวิต ผู้ซึ่งหันหลังให้กับ “รายได้ต่อปี” จำนวน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อเข้าสู่สายธารของอะฮ์ลุลบัยติ์ (อ.)
เอโดอาร์โด อันเญลลี (Edoardo Agnelli) เกิดเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 1954 ในนครนิวยอร์ก หลังจากจบการศึกษาที่วิทยาลัยแอตแลนติก (Atlantic College) ได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน (Princeton University) เพื่อศึกษาวรรณกรรมสมัยใหม่และปรัชญาตะวันออก หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยเพื่อที่จะศึกษารหัสยวิทยาและศาสนาต่างๆ ของตะวันออกเขาได้เดินทางไปประเทศอินเดียแล้วหลังจากนั้นก็ไปอิหร่านและได้เข้ารับแนวทางชีอะฮ์ในระหว่างที่เขาไปเยือนประเทศอิหร่าน
วุฒิสมาชิก “จิอันนี่ อันเญลลี” (Senator Giovanni 'Gianni' Agnelli) บิดาของ “เอโดอาร์โด” หนึ่งในผู้ที่ร่ำรวยที่สุดและมีอิทธิพลมากที่สุดของอิตาลีและเป็นบริษัทผลิตรถยนต์ Fiat, Ferrari, Lamborghini, Lancia, Alfa Romeo และ Iveco รวมถึงโรงงานผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมหลายแห่ง ธนาคารเอกชนหลายแห่ง บริษัทออกแบบแฟชั่น นิตยสารแฟชั่น หนังสือพิมพ์และอื่นๆ อีกหลายแห่ง รวมทั้งสโมสรฟุตบอลยูเวนตุส
นอกจากนี้ตระกูลอันเญลลียังเป็นผู้ถือหุ้นคนสำคัญของบริษัทรับเหมาก่อสร้าง สร้างถนน บริษัทผลิตเวชภัณฑ์และบริษัทผลิตเฮลิคอปเตอร์อีกหลายแห่ง ระดับความมั่งคั่งและอิทธิพลของตระกูลอันเญลลีมีมากถึงขั้นที่สื่อต่างๆ ของอิตาลีกล่าวขานถึงพวกเขาในนาม ครอบครัวกษัตริย์แห่งอิตาลีและบรรดาผู้เชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐกิจได้ประเมินรายได้ต่อปีของตระกูลนี้ว่าสูงถึงประมาณ 6 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3 เท่าของรายได้น้ำมันของสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน (ภายใต้สภาวะปัจจุบัน)
เอดูอาร์โดกับการเข้ารับอิสลาม
เอดูอาร์โดเป็นนักศึกษาปรัชญาศาสนาในมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน (Princeton University) ที่มีชื่อเสียงของนิวยอร์ค ตัวเขาเองก็เกิดในนิวยอร์ค เขาได้อ่านคัมภีร์ไบเบิลและโตราห์ แต่คัมภีร์เหล่านี้ไม่ได้ทำให้เขาเกิดความมั่นใจ ในวัย 20 ปี สายตาของเขาได้มองเห็นคัมภีร์อัลกุรอานโดยบังเอิญในห้องสมุดแห่งหนึ่ง เขาจึงได้หยิบอ่านเพียงไม่กี่โองการจากพระคัมภีร์ ก็มีรู้สึกว่าคัมภีร์นี้ไม่อาจที่จะเป็นคำพูดของมนุษย์ได้
เอดูอาร์โดอธิบายถึงการที่เขาเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามว่า : “ในช่วงที่ผมอยู่ในนิวยอร์ก มีอยู่วันหนึ่งขณะที่ผมเดินดูหนังสือไปรอบๆ ห้องสมุดสายตาผมได้มองไปเห็นคัมภีร์อัลกุรอาน ผมจึงอยากรู้ว่ามีอะไรอยู่ในคัมภีร์อัลกุรอาน ผมหยิบมันขึ้นมาและเริ่มเปิดอ่านความหมายภาษาอังกฤษของโองการต่างๆ ผมรู้สึกว่าถ้อยคำเหล่านี้เป็นถ้อยคำที่มีรัศมีและไม่อาจที่จะเป็นคำพูดของมนุษย์ได้เลย ผมรู้สึกประทับใจมาก จึงขอยืมคัมภีร์อัลกุรอานเพื่อกลับไปอ่านต่อ ผมได้อ่านมากยิ่งขึ้นและรู้สึกว่าผมเข้าใจและยอมรับมากยิ่งขึ้น
จากนั้นเอดูอาร์โดได้ไปที่ศูนย์อิสลามในนิวยอร์กและขอที่เข้ารับอิสลาม พร้อมกับได้ตั้งชื่อให้ว่า "ฮิชาม อะซีซ"
มุฮัมมัด อิสหาก อับดุลลอฮี ซึ่งเป็นเพื่อนชาวมุสลิมคนหนึ่งของเอดูอาร์โดก็ได้กล่าวเกี่ยวกับเขาว่า : "เอดูอาร์โดจะไม่ยอมหลับนอนในช่วงค่ำคืน และจะอ่านคัมภีร์อัลกุรอานภายใต้แสงเทียนจนถึงยามเช้า" คำพูดที่ว่าเขาได้เลื่อมไสและเข้ารับอิสลามด้วยผลของการคบหาสมาคมอยู่กับชาวมุสลิมจึงเป็นคำกล่าวอ้างที่ไม่มีความหนักแน่น เนื่องจากสถานะทางการเงินและการเมืองที่พ่อของเอดูอาร์โดมีนั้นจะไม่ยอมปล่อยให้ใครนำเรื่องราวเหล่านี้มาพูดคุยกับเขาและเชิญชวนเขาเข้าสู่ศาสนาใหม่อย่างแน่นอน หลังจากที่เขาได้พบสนทนากับดร.กอดีรี อับยาเนะฮ์ เขาก็เปลี่ยนมานับถืออิสลามตามสำนักคิดชีอะฮ์และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “มะฮ์ดี”
แม้ว่าด้วยเหตุผลของสถานะทางด้านการเงินและการเมืองของครอบครัวของเอดูอาร์โดทำให้เขาได้พบปะกับบรรดาผู้นำทางการเมืองและศาสนาของโลกจำนวนมากมายก็ตาม แต่ในการเข้าพบท่านอิมามโคมัยนี (ร.ฮ.) เขารู้สึกประทับใจอย่างมากกับความเรียบง่าย ความยิ่งใหญ่และจิตวิญญาณของท่าน ความสัมพันธ์ดังกล่าวนี้ได้เปลี่ยนเส้นทางชีวิตของเอดูอาร์โดอย่างแท้จริง
อิกอร์แมนผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ "La Stampa" ของอิตาลีกล่าวว่า : “เมื่อเอดูอาร์โดพูดคุยเกี่ยวกับการเข้าพบอิมามโคมัยนีและความประทับใจของเขาที่มีต่อท่านนั้น ทำให้ผมคิดว่าอิมามได้ทำไสยศาตร์ใส่เขา นอกจากนี้เอดูอาร์โดยังวางแผนที่จะเดินทางไปอิหร่านในช่วงหนึ่งเดือนก่อนก่อนการเสียชีวิตของเขา แต่พ่อแม่ของเขาได้ซ่อนหนังสือเดินทางของเขาไว้เพื่อยับยั้งเขาจากการเดินทางดังกล่าว”
(เอโดอาร์โด (มะฮ์ดี) อันเญลลี ในพิธีนมาซวันศุกร์ในกรุงเตหะราน ในปี 1982) (ภาพ)
การกดดันต่างๆ ที่มีต่อเอโดอาร์โด
ฮุเซน อับดุลลาฮี เพื่อนชาวอิหร่านที่สนิทที่สุดของเอโดอาร์โดได้อธิบายถึงการกดดันต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเอโดอาร์โดจากครอบครัวของเขานั้นว่า เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ เขากล่าวว่า : “เอโดอาร์โดตกอยู่ภายใต้การกดดันทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงมาก ครอบครัวอันเญลลีได้ปิดกั้นทางด้านเศรษฐกิจต่อเขาถึงขั้นที่เขาไม่มีเงินแม้แต่จะใช้เป็นค่าโดยสารรถแท็กซี่” ฮุเซนกล่าวว่า : "วันหนึ่งเราได้ไปยังเอเย่นต์สายการบินอิหร่านแอร์ในอิตาลีพร้อมกับเอโดอาร์โด เพื่อจองตั๋วเดินทางให้กับเอโดอาร์โด พนักงานชาวอิตาลีของบริษัทอิหร่านแอร์กล่าวว่า ผมไม่สามารถซื้อตั๋วเครื่องบินให้แก่เอโดอาร์โดได้ หลังจากการโต้เถียงกันอย่างมากมายกับเจ้าหน้าที่ก็เป็นที่กระจ่างชัดว่าเลขานุการของบิดาเอโดอาร์โดนั้นได้ติดต่อมายังพนักงานคนดังกล่าว พร้อมกับสั่งไว้ว่า คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะออกตั๋วให้แก่เอโดอาร์โด"
ครั้งแรกของการรู้จักกับการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่านของเอโดอาร์โดเกิดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1980 (ช่วงเฉลิมฉลองครบรอบ 1 ปีของชัยชนะการปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน) หนึ่งสัปดาห์หลังจากการในการอภิปรายของดร.กอดีรี อับยอเนะฮ์ กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายสิ่งพิมพ์ของสถานทูตอเมริกาและอิรัก พร้อมกับนักข่าวอิตาลีและผู้ดำเนินรายการสถานีโทรทัศน์ช่อง 2 ของอิตาลีซึ่งถ่ายทอดสด (ส่วนหนึ่งของการอภิปรายนี้ได้ถูกนำมาประกอบในสารคดีของเอโดอาร์โดด้วย) เอโดอาร์โด ซึ่งมีอายุน้อยกว่าดร.กอดีรี อับยอเนะฮ์ เพียงหกเดือน จึงตัดสินใจที่จะคบหาเป็นเพื่อนกับดร.กอดีรี และได้ไปพบเขาที่บ้านโดยไม่เปิดเผยตัว
ดร.กอดีรี อับยอเนะฮ์ ได้เล่าถึงการพบกันครั้งนั้นว่า : “ หนึ่งสัปดาห์หลังจากที่เข้าร่วมรายการโทรทัศน์ซึ่งเอโดอาร์โดดูรายการดังกล่าวด้วย ในวันอาทิตย์ขณะที่ผมอยู่ในบ้านพักของสถานทูต เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสถานทูตได้กล่าวว่า มีชายหนุ่มชาวอิตาเลียนคนหนึ่งต้องการพบคุณ ผมก็บอกกับเจ้าหน้าที่ว่า หากเป็นไปได้ก็จงบอกเขาว่าให้มาใหม่ในวันพรุ่งนี้ แต่หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสถานทูตก็กดออดอีกและบอกกับผมว่า ชายหนุ่มคนนี้ได้พูดว่า "พระเจ้าจะทรงเปิดประตูทุกบานที่ปิด" ผมจึงบอกให้เจ้าหน้าที่รีบเปิดประตูในทันที และผมก็ออกไปต้อนรับชายหนุ่มผู้นั้น เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงและผอม ซึ่งมาพร้อมกับรถจักรยานยนต์เก่าๆ คันหนึ่ง และเขาได้แนะนำตัวเองว่าชื่อ “เอโดอาร์โด อันเญลลี” ผมจึงถามเขาว่าคุณเกี่ยวข้องกับครอบครัวแอนนี่ที่มีชื่อเสียงหรือไม่ และเขาก็บอกว่าเป็นลูกชาย! ผมถามว่า ถ้าคุณเป็นลูกชายของอันเญลลีจริงแล้วทำไมจึงมาด้วยรถจักรยานยนต์มือสองเช่นนี้? เขากล่าวว่า นี่เป็นรถของยามที่บ้าน ซึ่งที่ผมมาโดยอาศัยมอเตอร์ไซต์คันนี้เพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าผมมาที่นี่ ผมได้ดูการสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ของคุณและผมเองเป็นมุสลิมแล้ว ผมถามว่า คุณเป็นมุสลิมเมื่อใด? เขาตอบว่า เป็นเมื่อสี่ปีที่ผ่านมา เขาได้อธิบายถึงเรื่องราวการเข้ารับอิสลามของตน เขาต้องการให้เราเป็นเพื่อนกัน"
ดร.กอดีรี อับยอเนะฮ์ กล่าวว่า มันเป็นเรื่องยากมากสำหรับครอบครัวอันเญลลีซึ่งอยู่ในอิตาลี ซึ่งเป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์คาทอลิก ที่จะกล่าวว่าลูกชายของวุฒิสมาชิก “จิอันนี่ อันเญลลี” ได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม ดังนั้นเอโดอาร์โดจึงถูกกดดันอย่างรุนแรงให้ละทิ้งศาสนาอิสลาม เขาถูกบอยคอตและถูกขมขู่ว่าจะถูกตัดสิทธิ์จากกองมรดกและท้ายที่สุดเขาก็ถูกกีดกันจากการรับมรดกจริงๆ แต่เขาก็ไม่ได้ละทิ้งศาสนาอิสลาม สิ่งนี้เพียงอย่างเดียวก็สามารถที่จะกล่าวได้ว่า คำกล่าวอ้างที่ว่าเขาฆ่าตัวตายนั้นไม่อาจที่จะเป็นไปได้ เนื่องจากว่า เพื่อที่จะรักษาศาสนาของเขาไว้นั้น เขาพร้อมที่จะสละสิทธิ์และมองข้ามเงินจำนวนนับพันๆ ล้านดอลลาร์ ดังนั้นด้วยกับการมีความศรัทธาที่มั่นคงต่ออิสลามนี้จะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะฆ่าตัวตาย ซึ่งในศาสนาอิสลามถือว่า เป็นที่ต้องห้าม (ฮะรอม)?
การฆ่าตัวตายหรือฆาตกรรม?!
เอโดอาร์โด อันเญลลี เป็นทายาทของนายทุนรายใหญ่ที่สุดของอิตาลีและเป็นลูกชายของตระกูล อันเญลลี เขาล่วงรู้ถึงความลับต่างๆ จำนวนมากของประเทศของเขาและองค์กรมาเฟียและไซออนิสต์ต่างๆ และขณะนี้ด้วยการเข้ารับอิสลามและให้การสนับสนุนการปฏิวัติอิสลามของเขาทำให้เขากลายเป็นอันตรายมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เขาได้ทำงานเคลื่อนไหวต่อต้านซัลมาน รุชดี (เจ้าของหนังสือ The Satanic Verses ) ในอิตาลี และการประณามอาชญากรรมของชาวไซออนิสต์ในดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครอง และกระทั่งว่าในการดำเนินการเหล่านี้เขาเคยติดต่อพูดคุยทางโทรศัพท์กับนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีของอิตาลี
เขามีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการมุ่งร้ายต่อชีวิตของเขาโดยชาวไซออนิสต์ และเคยกล่าวกับนักการทูตชาวอิหร่านในอิตาลีว่า "ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาจะฆ่าเขาเนื่องจากการเข้ารับอิสลามของเขา และจะอ้างถึงอาชญากรรมครั้งนี้ว่า เกิดจากการฆ่าตัวตาย อุบัติเหตุหรือความเจ็บป่วย" กระทั่งว่าพวกเขาได้บังคับเขาอย่างลับๆ ให้เข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเฉพาะของมหาเศรษฐีแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับชายแดนของสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งแพทย์และพยาบาลทั้งหมดของมันเป็นชาวยิว ในที่สุดก็เป็นไปตามที่ตัว เอโดอาร์โดเองได้คาดการณ์ไว้ เขาได้เสียชีวิต (เป็นชะฮีด) ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2000 ในเหตุการณ์ที่ถูกสร้างขึ้น ในขณะที่มีอายุ 46 ปี ในวันดังกล่าวเขาได้ออกจากบ้านเพื่อที่จะไปทำงานประจำวันของตน ก่อนที่เขาจะออกจากบ้าน เขาได้ขอให้แม่ครัวประจำครอบครัวทำอาหารที่เขาชอบจากเนื้อสัตว์ที่ฮาลาล แต่ชั่วโมงต่อมาร่างที่ไร้ชีวิตของเขาก็ถูกพบในบริเวณใกล้ๆ กับแม่น้ำและใต้สะพานมอเตอร์เวย์แห่งหนึ่งใกล้นครตูริน เมืองหลวงของแคว้นพีดมอนต์ในประเทศอิตาลี
ข่าวการตายของเขาได้ถูกพาดหัวกลายเป็นข่าวสำคัญในระยะเวลาหลายวัน หลายพันเว็บไซต์ ของหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ได้รายงานข่าวเกี่ยวกับการตายของเขา สื่อต่างๆ พยายามที่จะอธิบายว่า เอโดอาร์โดเป็นบุคคลที่มีความสำคัญ ชอบปลีกตัวออกจากสังคม เป็นคนขี้อาย ติดยาเสพติดและเป็นผู้ป่วย
* หนึ่งในกรณีที่น่าสงสัยเกี่ยวกับการเสียชีวิตของเอโดอาร์โดก็คือ ไม่มีการสอบสวนและการชันสูตรศพ เพิ่มเติมใดๆ เกี่ยวกับกรณีการเสียชีวิตของเขา และการตายของเขาถูกสรุปในทันทีว่าเป็นการฆ่าตัวตาย กระทั่งก่อนที่ตำรวจจะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการว่าการเสียชีวิตของเขาเป็นการฆ่าตัวตายนั้น หนังสือพิมพ์บางฉบับก็ตีพิมพ์พาดหัวข้อข่าวแล้วว่า "การฆ่าตัวตายของลูกชายของประทานบริษัทเฟียต" เพื่อชี้นำความคิดเห็นของสาธารณชนไปสู่ประเด็นการฆ่าตัวตาย และศพของเขาก็ถูกฝังในช่วงเที่ยงของวันรุ่งขึ้น หลังจากวันเกิดอุบัติเหตุเพื่อที่จะไม่เปิดโอกาสให้มีการสอบสวนใดๆ
* หลังจากการตายของเอโดอาร์โด การปิดข่าวเกี่ยวกับการเป็นมุสลิม ความเชื่อของเขาและแม้แต่การเดินทางไปอิหร่านของเขาก็เกิดขึ้น ความคิดเห็นของหนังสือพิมพ์ต่างๆ ของอิหร่านโดยเฉพาะของสมาคมศิษย์เก่าอิหร่านในอิตาลีเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการถูกลอบสังหารนั้นก็ไม่ได้ถูกสะท้อนแต่อย่างใด ในขณะที่ครอบครัวอันเญลลีเป็นหนึ่งในครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดของอิตาลี ซึ่งโดยปกติแล้วความคิดเห็นที่เล็กน้อยที่สุดเกี่ยวกับครอบครัวนี้จะถูกสะท้อนออกมาอย่างรวดเร็ว โดยที่นายกรัฐมนตรีอิตาลีได้แสดงความเสียใจต่อครอบครัวอันเญลลีต่อการเสียชีวิตของเอดูอาร์โด และก่อนการแข่งขันฟุตบอลระหว่างอิตาลีกับอังกฤษนั้น ทางสนามฟุตบอลได้แสดงความเคารพและไว้อาลัยต่อเอดูอาร์โดด้วยการยืนสงบนิ่งเป็นเวลาหนึ่งนาที นอกจากนี้หลังจากการตายของเอดูอาร์โดเอกสารและหลักฐานทั้งหมดเกี่ยวกับกิจกรรม หน้าที่การงานและชีวิตของเขาได้ถูกเก็บรวบรวมและแม้แต่สารคดีที่เขาสร้างขึ้นและถูกเก็บไว้ในคลังเก็บถาวร (Archive) ของทีวีช่อง 1 ของอิตาลีก็ถูกลบออกจากคลังเก็บถาวรของช่องนี้
* ไม่กี่ปีหลังจากการถูกฆาตกรรมของเอโดอาร์โด เพื่อนสนิทและมีความใกล้ชิดมากคนหนึ่งของเขาซึ่งมีนามว่า “ลูกา กาเอตานี โลวาเทลลี” (luca gaetani d'aragona lovatelli) ก็ถูกสังหารในสถานการณ์แบบเดียวกัน เขาเป็นเพื่อนของเอโดอาร์โดและไปอิหร่านพร้อมกับเขาและก็เปลี่ยนมาเป็นผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามในอิหร่าน ลูกาเป็นลูกของชนชั้นสูงชาวอิตาลีเช่นเดียวกัน พ่อของลูกาเป็นที่รู้จักในนาม "ราชาแห่งไวน์อิตาเลียน" และครอบครัวของเขาถือเป็นหนึ่งในตระกูลที่โด่งดังที่สุดของประเทศ เมื่อพิจารณาถึงชะตากรรมที่คล้ายคลึงกันของเขากับเอโดอาร์โด ดูเหมือนว่ากลยุทธ์ "การสร้างฉากการฆ่าตัวตาย" จะเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักในการกำจัดเยาวชนคนหนุ่มสาวที่ไม่เต็มใจที่จะอยู่ในความโง่เขลา
* ดร. มาร์โก บาวา (Dr. Marco Bava) เป็นเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งของเอดูอาร์โด เขาได้คัดค้านวิธีการในการสืบสวนคดีของเอดูอาร์โด เขาเขียนจดหมายถึงสภาตุลาการสูงสุดของอิตาลีในปี 2001 ในจดหมายดังกล่าวพร้อมกับการวิจารณ์กระบวนการสืบสวนคดีของเอดูอาร์โด เขาได้สอบถามถึงสาเหตุของการไม่ใช้หุ่นมนุษย์เพื่อประกอบการจำลองเหตุการณ์การฆ่าตัวตาย ตามความเชื่อของเขา ร่องรอยหลักฐานต่างๆ ทีมีอยู่บนเสื้อผ้าและรองเท้าของเอดูอาร์โดนั้นไม่ยืนยันถึงการฆ่าตัวตาย เขายังกล่าวด้วยว่าการไม่ชันสูตรศพนั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้
แปลและเรียบเรียง : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ
Copyright © 2018 SAHIBZAMAN.NET- สื่อเรียนรู้สำหรับอิสระชนคนรุ่นใหม่