การเดินเท้าในพิธีอัรบาอีนเป็นประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่นำพาผู้คนมารวมตัวกันเหนือพรมแดนทางศาสนาและภูมิศาสตร์ การรวมตัวขนาดใหญ่นี้เป็นพยานถึงการปรากฏตัวของผู้แสวงบุญจากหลากหลายเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรมที่มุ่งหน้าสู่กัรบาลา ด้วยใจที่เปิดกว้างและมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน
ในรายงานนี้ เราจะตรวจสอบและรายงานถึงความรู้สึกและประสบการณ์ของผู้แสวงบุญเหล่านี้ ซึ่งเราจะได้รับรู้ว่า พิธีเดินเท้าอัรบาอีน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเอกภาพและความสามัคคีระดับโลก สามารถเชื่อมโยงหัวใจที่แตกต่างกันเข้าด้วยกันได้อย่างไร.....
การเดินเท้าอัรบาอีน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นหนึ่งในการรวมตัวทางศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ไม่เพียงแต่ดึงดูดชาวมุสลิมจากส่วนต่างๆ ของโลกมาที่ดินแดนกัรบาลาเท่านั้น แต่ยังดึงดูดผู้คนจากศาสนาและเชื้อชาติต่างๆ อีกด้วย พิธีที่ยิ่งใหญ่นี้มีผู้คนหลายล้านคนเข้าร่วม ตั้งแต่ชาวชีอะฮ์และซุนนี ไปจนถึงคริสเตียน ชาวยิว และผู้ปฏิบัติตามศาสนาอื่น ๆ ได้มาเข้าร่วมในพิธีนี้ และได้กลายเป็นเทศกาลแห่งเอกภาพและมนุษยชาติระดับโลก ในรายงานนี้เราจะพูดถึงประสบการณ์ของคนหลากหลายเชื้อชาติและความเชื่อที่เข้าร่วมการเดินเท้าอัรบาอีนเป็นครั้งแรก พวกเขาจะเล่าให้เราฟังว่าการเดินทางทางจิตวิญญาณนี้ได้ทำลายพรมแดนทางศาสนาและชาติพันธุ์ และทำให้พวกเขาเข้าใจเอกภาพและความสามัคคีของมนุษย์อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นได้อย่างไร คำบอกเล่าเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงพลังและอิทธิพลของข้อความ (สาสน์) ของท่านอิมามฮุเซน (อ.) ในการสร้างสายสัมพันธ์ระดับโลกที่นำหัวใจทั้งหลายมารวมกันเหนือความแตกต่างและข้อจำกัดที่มีอยู่
ผู้แสวงบุญชาวมุสลิมใหม่ที่อัรบาอีนได้เปลี่ยนความหมายของชีวิตของเขา
"อาวี" ซึ่งปัจจุบันถูกรู้จักในชื่อ "อะลี" เป็นผู้นับถือศาสนายูดาย (ยิว) มาหลายปี แต่หลังจากการค้นคว้าวิจัยและการศึกษามากมาย เขาได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม และเริ่มสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับเรื่องราวของอิมามฮุเซน (อ.) และเหตุการณ์แห่งอาชูรอ เขาเล่าให้เราฟังเกี่ยวกับประสบการณ์ของเขาในการชุมนุมครั้งใหญ่นี้ โดยกล่าวว่า :
“ตั้งแต่วัยเด็ก ผมพยายามค้นหาความหมายที่ลึกซึ้งในชีวิตมาโดยตลอด ผมเกิดมาในครอบครัวชาวยิว และคำสอนทางศาสนาของศาสนายิวเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของผม แต่ผมมักจะรู้สึกอยู่เสมอว่ามีอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้นซึ่งเป็นความจริงที่ผมยังไม่ได้ค้นพบมัน ผมศึกษาค้นคว้าศาสนาต่างๆ เป็นเวลาหลายปีจนกระทั่งได้รู้จักเรื่องราวของท่านอิมามฮุเซน (อ.) และเหตุการณ์แห่งอาชูรอ เรื่องราวนี้เป็นมากกว่าเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์สำหรับผม เป็นข้อความสากลของการยืนหยัดต่อต้านการกดขี่และการเสียสละในทางของความจริง
ครั้งแรกที่ผมได้ยินว่าชาวมุสลิมมีการเข้าร่วมในการเดินขบวนที่ยิ่งใหญ่เพื่อรำลึกถึงท่านอิมามฮุเซน (อ.) ผมรู้สึกว่านี่เป็นประสบการณ์พิเศษที่ผมจะต้องสัมผัสโดยตรง ในฐานะผู้ที่เพิ่งเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม ผมมีโอกาสเข้าใจจิตวิญญาณของศาสนานี้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ตอนที่ผมอยู่ท่ามกลางฝูงชนขนาดใหญ่ของการเดินเท้าอัรบาอีน ผมรู้สึกว่าแทนที่จะมีคนเพียงคนเดียว แต่หัวใจหลายพันดวงได้เต้นไปด้วยกัน แต่ละย่างก้าวที่ผมก้าวไปสู่ทิศทางของกัรบาลา ไม่เพียงแต่ร่างกายของผมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงจิตวิญญาณของผมก็ร่วมทางไปกับการเดินทางที่มีความหมายนี้ด้วย การเดินขบวนครั้งนี้สำหรับผมแล้วเป็นมากกว่าการเดินทางบนโลกนี้ มันเป็นประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ ประชาชนที่ไม่รู้จักผมปฏิบัติต่อผมอย่างอบอุ่น แบ่งปันอาหารและน้ำด้วยความเมตตา สนับสนุนและช่วยเหลือผมในเส้นทางที่ยากลำบากนี้ ความเห็นอกเห็นใจและความเสน่หานี้แสดงให้เห็นถึงความรักอันลึกซึ้งต่อท่านอิมามฮุเซน (อ.) และคุณค่าต่างๆ ของท่าน”
ในตอนท้าย อะลีได้กล่าวย้ำว่า : “ตลอดเส้นทางนี้ ผมเข้าใจว่าอัรบาอีนไม่ได้เป็นเพียงพิธีรำลึกสำหรับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่เป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคี ความอุตสาหะ และความศรัทธา การได้อยู่ท่ามกลางฝูงชนเหล่านี้ทำให้ผมนึกถึงว่าศาสนาอิสลามเป็นศาสนาสากลและมีมนุษยธรรมที่สามารถนำหัวใจมารวมกันได้ ในฐานะมุสลิมใหม่ ผมรู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวใหญ่ที่ก้าวข้ามพรมแดนและเชื้อชาติ และมุ่งมั่นสู่เป้าหมายร่วมกัน”
"เราะห์มาน" เติบโตมาในครอบครัวฮินดูแบบดั้งเดิมในอินเดีย ซึ่งเดิมชื่อ "รัจ" (Raj) ได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามหลังจากค้นหาข้อมูลมามาก เขาซึ่งเป็นมุสลิมมาได้ประมาณสี่ปี เล่าให้เราฟังถึงประสบการณ์ครั้งแรกในการเข้าร่วมการเดินเท้าอัรบาอีน เมื่อพิธีอัรบาอีนใกล้เข้ามา เขาตัดสินใจเข้าร่วมในการชุมนุมครั้งใหญ่นี้เป็นครั้งแรก แต่สิ่งที่ทำให้ประสบการณ์นี้แตกต่างและพิเศษสำหรับเขาคือการปรากฏตัวและอยู่ร่วมกับเพื่อนเก่าชาวฮินดูของเขาสองคนที่ร่วมเดินทางไปกับเขาในการเดินทางทางจิตวิญญาณครั้งนี้
เราะห์มานอธิบายว่า : “เมื่อผมบอกเพื่อนๆ ชาวฮินดูว่าผมตัดสินใจเข้าร่วมการเดินเท้าอัรบาอีน ผมได้เห็นปฏิกิริยาที่แตกต่างกันออกไป Vikas และ Suraj ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของผมสองคนฟังด้วยความสนใจ พวกเขาไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับอัรบาอีนมาก่อน แต่พวกเขามองดูพิธีกรรมนี้ด้วยความสงสัยและอยากรู้อยากเห็น ในที่สุด พวกเขาก็ตัดสินใจร่วมเดินทางทางจิตวิญญาณไปกับผมเพื่อดูว่าอะไรที่ดึงดูดผู้คนหลายล้านคนจากทั่วโลกให้มาสู่เส้นทางนี้
ในตลอดเส้นทาง ผมรู้สึกหลายครั้งว่าการมีอยู่ของเพื่อนเก่าในเส้นทางนี้ทำให้สายสัมพันธ์ทางวิญญาณของเราลึกซึ้งยิ่งขึ้น แม้ว่าพวกเขาจะนับถือศาสนาอื่น แต่พวกเขาก็เข้าร่วมในพิธีนี้ด้วยความเคารพและความสนใจ เราได้พูดคุยเกี่ยวกับความหมายของอัรบาอีน ความยุติธรรม และความสำคัญของการยืนหยัดต่อต้านการกดขี่ และทริปนี้เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่และสร้างความเปลี่ยนแปลงสำหรับผมในฐานะมุสลิมใหม่และสำหรับเพื่อนๆ ชาวฮินดูของผม เราทุกคนต่างเข้าใจว่าไม่ว่าศาสนาหรือสัญชาติใดก็ตาม เราสามารถเดินร่วมกันบนเส้นทางแห่งความจริงและความยุติธรรมได้ การเดินเท้าอัรบาอีนกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคีและความศรัทธาสำหรับเรา สัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าผู้คนสามารถก้าวไปด้วยกันไปสู่เป้าหมายร่วมกันได้ และใช้ความแตกต่างเป็นสะพานเชื่อมเพื่อความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจที่มากขึ้น”
ในที่สุด ประสบการณ์ของคนต่างเชื้อชาติและศาสนาจากการเดินเท้าอัรบาอีนแสดงให้เห็นว่าการชุมนุมที่ยิ่งใหญ่นี้มีพลังในการสร้างเอกภาพและความสามัคคีในหมู่ประชาชน โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างทางชาติพันธุ์ ศาสนา และภาษา การเดินเท้าอัรบาอีนซึ่งเป็นสัญลักษณ์สากลของการยืนหยัด การเสียสละ และความเป็นมนุษย์ สามารถรวบรวมหัวใจทั้งหลายเข้าด้วยกัน และเตือนทุกคนว่าในท้ายที่สุดแล้ว เราทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวมนุษย์ที่ใหญ่กว่า
ที่มา : สำนักข่าว IRNA
Copyright © 2024 SAHIBZAMAN.NET- สื่อเรียนรู้สำหรับอิสระชนคนรุ่นใหม่