บรรดาแรงจูงใจสำหรับการต่อสู้กับระบอบไซออนิสต์ก็คือการแพร่กระจายของความสับสนวุ่นวายทางการเมืองของระบอบนี้ไปยังส่วนต่างๆ ทางด้านความมั่นคง การทหารและสังคม สาเหตุของความสับสนวุ่นวายนี้คือแผนของเนทันยาฮูที่มีชื่อว่า "การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม" การยึดครองปาเลสไตน์และอัลกุดส์ (เยรูซาเล็ม) นั้นเป็นมากกว่าประเด็นทางสังคม การเมือง และเป็นประเด็นที่จำเป็นต้องมองมันจากมุมมองของความเชื่อในผู้ช่วยให้รอดและยุคสุดท้าย (อาคิรุซซะมาน)
การประชุม "วัฒนธรรมแห่งมะฮ์ดี" ครั้งที่ 157 จากชุดการประชุมรายเดือนของวัฒนธรรมแห่งมะฮ์ดี ของสถาบัน เมาอูด อัศร์ (อ.) ในหัวข้อ "ยิวไซออนิสต์ถึงระเบียบโลกใหม่" (Jewish Zionism to the New World Order) ครั้งนี้จัดขึ้นโดยความร่วมมือของ "สมาคมเพื่อการปกป้องชนชาติปาเลสไตน์" และ "สมาคมเพื่อผู้สนับสนุนการปลดปล่อยอัลกุดส์" การอภิปรายโต๊ะกลมนี้จัดขึ้นในวันพุธที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 2023 ในห้องโถงงานศิลปะ โดยมีศาสตราจารย์ซัยยิดฮาดี ซัยยิดอัฟกอฮี, ศาสตราจารย์มุฮัมมัดตะกี ตะกีปูร์ และศาสตราจารย์อิสมาอิล ชาฟีอี ซะรุสตานีเข้าร่วมด้วย
ปัจจัยพื้นฐานของปฏิบัติการพายุอัล-อักซอ
ดร. ซัยยิดอัฟกอฮี ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียตะวันตก ได้พูดถึงปัจจัยบางประการที่ทำให้เกิดสงครามปาเลสไตน์-ยิว ส่วนหนึ่งในนั้นคือ ประเด็นการแลกเปลี่ยนนักโทษชาวปาเลสไตน์กับเชลย (ชาวไซออนิสต์) ที่อยู่ในมือของ “อิสลามิกญิฮาด” และ “ฮามาส” และความเคลื่อนไหวอย่างจริงจังของบางประเทศทางตอนใต้ของ “อ่าวเปอร์เซีย” และประเทศอาหรับ เช่น "โมร็อกโก" และ "ซูดาน" เพื่อกระชับความสัมพันธ์เป็นปกติกับระบอบไซออนิสต์ และเป็นอันตรายต่อการดำรงอยู่ของ "ปาเลสไตน์" ตลอดจนเป็นอันตรายต่อยุทธศาสตร์และความมั่นคงสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันตกทั้งหมด
ซัยยิดอัฟกอฮีได้กล่าวถึงประเด็นการปฏิเสธสิทธิในการตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของปาเลสไตน์ตลอดจนแรงกดดันทางเศรษฐกิจต่อประชาชนใน "ฉนวนกาซา" ว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการตัดสินใจของกลุ่มฮามาสในการเข้าสู่สงครามกับระบอบไซออนิสต์
ซัยยิดอัฟกอฮี อธิบายว่า : "อีกประการหนึ่งที่มีผลอย่างมากในบรรดาแรงจูงใจสำหรับการต่อสู้กับระบอบไซออนิสต์ก็คือการแพร่กระจายของความสับสนวุ่นวายทางการเมืองของระบอบนี้ไปยังส่วนต่างๆ ทางด้านความมั่นคง การทหารและสังคม สาเหตุของความสับสนวุ่นวายนี้คือแผนของเนทันยาฮูที่มีชื่อว่า "การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม" เป็นแผนการที่เนทันยาฮูต้องการสร้างความคุ้มกันทางตุลาการสำหรับตัวเขาเอง ความวุ่นวายนี้เริ่มแรกเป็นเรื่องทางการเมือง ตอนนี้ได้ขยายไปถึงระดับทางทหารแล้ว บรรดาทหารกล่าวว่าพวกเขาไม่เห็นด้วยกับแผนของเนทันยาฮู และจะไม่ยอมให้เนทันยาฮูเปลี่ยนระบอบประชาธิปไตยของอิสราเอลให้กลายเป็นอิสราเอลเผด็จการ ดังนั้น มหาวิทยาลัย ศูนย์ศึกษาเชิงยุทธศาสตร์ ศูนย์วิจัย โดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคงและกองกำลังทหารจึงกลัวเผด็จการของเนทันยาฮูและกลัวว่าเขาต้องการสร้างหลักประกันสำหรับอนาคตของตัวเอง การแพร่กระจายของความวุ่นวายที่สังคมอิสราเอลกำลังเผชิญอยู่นี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม และกลุ่มฮามาสก็ใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้
ดร.ซัยยิดอัฟกอฮี ผู้เชี่ยวชาญด้านประเด็นระหว่างประเทศชี้ให้เห็นว่า เบื้องหลังปฏิบัติการของกลุ่มฮามาสนั้นคือ แผนการโจมตี "เวสต์แบงก์" และฉนวนกาซา (ของไซออนิสต์) ซึ่งกลุ่มฮามาสได้เปิดฉากปฏิบัติการ "พายุอัล-อักซอ" ก่อนเพื่อการป้องกันตน
ซัยยิดอัฟกอฮี กล่าวว่า ในการโจมตีฉนวนกาซานั้นอิสราเอลไม่ได้ดำเนินการเองโดยลำพัง แต่ "สหรัฐอเมริกา" เป็นผู้ออกแบบ (วางแผน) และดำเนินการโดยความร่วมมือของ "ซาอุดิอาระเบีย" "จอร์แดน" "อียิปต์" และ "อังกฤษ" ดร.ซัยยิดอัฟกอฮีกล่าวเสริมว่า : "การมีส่วนร่วมของ "ตุรกี" นั้นเป็นเรื่องที่น่าสงสัยสำหรับผม และยังไม่ได้รับการพิสูจน์"
ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียตะวันตกถือว่า การโจมตีฉนวนกาซาของระบอบไซออนิสต์อยู่ในสี่แนวหน้า ได้แก่ :
แนวรบแรก : แนวรบทางทะเล ซึ่งในแนวรบนี้นักประดาน้ำหรือมนุษย์กบจากเขตแดนชายฝั่งของฉนวนกาซาได้เข้าเขตแดนชายฝั่งของพื้นที่ตั้งถิ่นฐานต่างๆ ของไซออนิสต์
แนวหน้าที่สอง : เป็นการปฏิบัติการทางอากาศซึ่งมีพลร่มประมาณพันนายพร้อมระบบพาราไกลเดอร์ (ร่มร่อน) จากด้านในของฉนวนกาซาเข้ามาในพื้นที่ตั้งถิ่นฐาน โดยผ่านกำแพงที่ติดตั้งเครื่องกีดขวางขั้นสูง เช่น กล้องวงจรปิดที่เรียกว่าระบบ HR และกระแสไฟฟ้าแรงสูง ฯลฯ
แนวรบที่สาม : เป็นแนวรบภาคพื้นดิน บรรดาแนวหน้าจะบริหารจัดการแกนหลักของปฏิบัติการ คนเหล่านี้ได้พังกำแพง ทะลุรั้วและลวดหนามที่ติดตั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไฟฟ้าแรงสูง เซ็นเซอร์ที่ละเอียดอ่อน ปัญญาประดิษฐ์ ฯลฯ
แนวรบที่สี่ : ตามที่สมาชิกฮามาสและคนอื่นๆ อธิบายว่า กำแพงซีเมนต์ซึ่งสูงจากพื้นดิน 8 เมตร อยู่ใต้ดิน 13 เมตร เรามีฉนวนกาซาสองแห่ง แห่งหนึ่งคือฉนวนกาซาบนพื้นดินที่ประชาชนถูกสังหารหมู่ และอีกฉนวนกาซาหนึ่ง เป็นฉนวนกาซาใต้ดิน เป็นฉนวนกาซาหลักและต่อสู้กับระบอบไซออนิสต์
ในการตอบคำถามที่ว่า ทำไมระบอบไซออนิสต์จึงเน้นย้ำในการทำสงครามภาคพื้นดิน ศาสตราจารย์ซัยยิดอัฟกอฮี ชี้ไปที่คำสอนต่างๆ ของชาวยิวเกี่ยวกับการไม่นับคนที่ไม่ใช่ยิวว่าเป็นมนุษย์ และอธิบายว่าเป้าหมายของพวกเขาคือการทำลายหมู่ชนทั้งหลาย และปล่อยหมู่ชนที่เหนือกว่าให้มีชีวิตอยู่ (นั่นคือ ตัวพวกเขาเอง) นอกเหนือจาก "การปลดอาวุธกลุ่มต่อต้าน" "การแก้แค้นกลุ่มต่อต้าน" "การปลดปล่อยเชลย" และ "การเรียกศักดิ์ศรีที่สูญเสียไปของอิสราเอลในภูมิภาคกลับคืนมา" ถูกแนะนำในฐานะเป็นเป้าหมายของชาวยิวในสงครามภาคพื้นดิน ซัยยิดอัฟกอฮี กล่าวเสริมว่า :
“ประเด็นต่อไปคือการได้รับความไว้วางใจ ความพึงพอใจ และช่องว่างความไว้วางใจที่สังคมไซออนิสต์ทั้งหมดกำลังเผชิญกับมัน”
การตรวจสอบสาเหตุของสงครามที่ไร้มนุษยธรรมและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยชาวยิว
ในการบรรยายหัวข้อที่สอง มุฮัมมัด ตะกี ตะกีปูร์ นักวิจัยประวัติศาสตร์ลัทธิไซออนิสต์ ชี้ให้เห็นความเชื่อและความศรัทธาของชาวยิวและชาวอิสราเอล ซึ่งจากมุมมองของเขาถือเป็นวิธีที่สำคัญที่สุดในการรู้จักชาวยิวและการอธิบายการกระทำต่างๆ ของพวกเขา
ความเป็นศูนย์กลางของพระยาห์เวห์ เป็นหลักพื้นฐานข้อแรกของความเชื่อของชาวยิวที่ถูกแนะนำไว้ในพันธสัญญาเดิม
ดร. ตะกีปูร์ กล่าวว่า ชาวยิว เนื่องจากพวกเขาได้ถูกแนะนำในฐานะ เป็น "กลุ่มชนที่ถูกเลือก" โดยพระยาห์เวห์และคัมภีร์โตราห์ และนอกจากนี้คนที่ไม่ใช่ชาวยิวในทัศนะของพวกเขา คือ "โกยิม" (เหมือนมนุษย์) หรือ มนุษย์ปลอม พวกเขาจึงถือว่า คนที่ไม่ใช่ชาวยิวที่ไม่รับใช้พวกเขา พวกเขาจะต้องทำลายคนเหล่านั้นทิ้งเสีย คำสอนประการหนึ่งของคัมภีร์โตราห์คือ คนเหล่านั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อรับใช้หมู่ชนที่ได้รับการคัดเลือก และหากพวกเขาไม่รับใช้ พวกเขาควรจะถูกเชือดและสังหาร
ดร. ตะกีปูร์ กล่าวเสริมว่า : "ชาวยิวถือว่าผู้ที่ไม่ใช่ชาวยิวนั้น เป็นตัวอ่อน (ทารกในครรภ์) ที่เกิดจากซาตาน (ชัยฏอน) และเป็นสัตว์ และเชื่อว่าโลกถูกสร้างขึ้นรอบแกนชาวยิว และสำนวนทั้งหมดเหล่านี้สามารถพบได้จากหนังสือ "Treasures of the Talmud" ซึ่งเป็นฉบับแปลของ คัมภีร์โตราห์”
หลังจากนั้น ผู้บรรยายได้ชึ้ถึงหลักการสำคัญและ "ดินแดนแห่งพันธสัญญา" เขาอ่านโองการหนึ่งจากคัมภีร์โตราห์ซึ่งในโองการดังกล่าวได้บอกกับชาวอิสราเอลเกี่ยวกับการยึดครองดินแดนอามาเลข (อามาลาเกาะฮ์) ไว้เช่นนี้ว่า : "จงฆ่าผู้หญิงของพวกเขา จงฆ่าคนแก่ของพวกเขา จงฆ่าเด็ก ๆ ของพวกเขา ฆ่าทารกของพวกเขา อย่าแม้แต่จะเมตตา (ไว้ชีวิต) สัตว์และปศุสัตว์ของพวกเขา"
ดร. ตะกีปูร์ กล่าวว่า : "ความเชื่อเหล่านี้ถูกเผยแพร่และสอนในคำสอนต่างๆ ของโตราห์ในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยของพวกเขา และเด็กๆ ชาวยิวก็เติบโตขึ้นมาด้วยคำสอนเหล่านี้ เป็นผลทำให้เมื่อพวกเขาเติบโตเต็มวัยการทำสงคราม การหลั่งเลือด และการยึดครองไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพวกเขา
ศาสตราจารย์ตะกีปูร์กล่าวว่า ด้วยการสร้างหลักการสามประการคือ "พระยาห์เวห์" "กลุ่มชนที่ถูกเลือก" และ "ดินแดนแห่งพันธสัญญา" จึงสร้างหลักการต่อไป นั่นคือ "พระเมสสิยาห์" "ความเชื่อในพระเมสสิยาห์" ในหลักความเชื่อของชาวยิวนั้นหมายถึงอาณาจักรของชาวยิวในกรุงเยรูซาเล็ม (บัยตุลมักดิส) และทั่วโลก
นักวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ชาวยิวอธิบายว่า : "ปี ค.ศ. 1836 หัวหน้าแรบไบของชาวยิวชาวเยอรมันเขียนจดหมายถึงกษัตริย์สององค์ที่ไม่ได้สวมมงกุฎของยุโรป คือ รอธส์ไชลด์ (Rothschild) และ มอนเตฟิออเร่ (Moses Montefiore) ในจดหมายฉบับนี้ ได้เขียนว่า :ใครอย่าได้จินตนาการว่าพระเมสสิยาห์จะทรงปรากฏตัวอย่างทันทีทันใดและจะทำหน้าที่ชี้นำชาวยิวโดยอาศัยปาฏิหารย์ ทว่าการปลดปล่อยนั้นจะเริ่มขึ้นด้วยวิธีตามธรรมชาติ" ในการอธิบายถึงจดหมายฉบับนี้ ศาสตราจารย์ตะกีปูร์ชี้ให้เห็นว่า "การทำลายกรุงเยรูซาเล็ม (บัยตุลมักดิส)" "การก่อสร้างวิหาร" บนมัสยิดอัล-อักซอ และพิธีกรรมการบูชายัญพิเศษ ถือเป็นสัญญาณของการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ และ ชาวยิววางแผนที่จะให้พระเมสสิยาห์นั่งบนบัลลังก์ และไม่ใช่ว่าพระเมสสิยาห์จะเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติและมาจากพระเจ้า
ศาสตราจารย์ตะกีปูร์ ด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ถึงกรณีที่ว่าเราไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงความลุ่มลึกของโศกนาฏกรรมที่ชาวยิวกระทำในโลกนี้ในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยของเรา และเตือนว่า การจำกัดชาวยิวอยู่เฉพาะลัทธิไซออนิสต์นั้นเป็นแนวทางที่เบี่ยงเบน
เขาอธิบายว่า ความเป็นปฏิปักษ์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ลัทธิไซออนิสต์เท่านั้น และอัลกุรอาน ซึ่งเป็นคัมภีร์แห่งการรู้จักมิตรและการรู้จักศัตรูที่อิสลามเน้นย้ำ ได้แนะนำ "ชาวยิว" ในฐานะศัตรูของชาวมุสลิม ไม่ใช่ลัทธิไซออนิสต์
เขาย้ำว่า สงครามในปาเลสไตน์เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ของชาวยิว และตามความเชื่อของชาวยิว บทนำสู่การบรรลุพระประสงค์ของพระยาห์เวห์เกี่ยวกับพวกเขาคือความเป็นผู้ถูกคัดเลือกของพวกเขา รวมถึงการยึดครองโลกในฐานะดินแดนที่ถูกเลือก และกรณีทั้งหมดเหล่านี้หมายถึงจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ในประวัติศาสตร์ของชาวยิว
อาณาจักรยิวและจุดเริ่มต้นของระเบียบโลกใหม่
หัวข้อที่สามของการอภิปรายโต๊ะกลมดำเนินการโดยศาสตราจารย์อิสมาอิล ชาฟีอี ซะรูสตานี นักวิจัยและนักเขียนในด้านตะวันตกศึกษาและยิวศึกษา ในคำบรรยายในส่วนนี้ ศาสตราจารย์ซะรูสตานีชี้ให้เห็นว่าหัวข้อการสนทนาเกี่ยวกับการยึดครองปาเลสไตน์และอัลกุดส์ (เยรูซาเล็ม) นั้นเป็นมากกว่าประเด็นทางสังคม การเมือง และเป็นประเด็นที่จำเป็นต้องมองมันจากมุมมองของความเชื่อในผู้ช่วยให้รอดและยุคสุดท้าย (อาคิรุซซะมาน)
ศาสตราจารย์ซะรูสตานีชี้ให้เห็นว่า : "เรากำลังเผชิญกับประวัติศาสตร์การโจมตีประมาณ 3,000 ปีโดยกลุ่มบนีอิสรออีล (เผ่าชนอิสราเอล) ซึ่งดำเนินมาทีละขั้นๆ และวันนี้เราอยู่ในขั้นก่อนสุดท้าย" ศาสตราจารย์ซะรูสตานี ชี้ถึงน้ำท่วมของศาสดานูห์ หรือ โนอาห์ (อ.) และชี้ไปที่ลูกทั้งสามคของท่าน คือ ซาม ฮาม และยาฟิต ว่าพวกเขาและภรรยาเป็นเพียงผู้รอดชีวิตอยู่ในโลก ในเวลานั้น ดินแดนถูกแบ่งระหว่างลูกทั้งสามคนนี้ และภูมิภาคชามาต (ดินแดนชาม) กลายเป็นส่วนแบ่งของซาม และในภูมิภาคนี้เองที่รากเหง้าของศาสนาและบรรพบุรุษชั้นสูงสุดของชาวอิสราเอล กล่าวคือ ศาสดาอิบรอฮีม หรือ อับราฮัม (อ.) ได้ถือกำเนิดขึ้นและได้รับแต่งตั้งให้เป็นศาสดา จากศาสดาอิบรอฮีม (อ.) ได้ถูกแยกออกเป็นสองสาย สายหนึ่งมาจากลูกหลานของท่านศาสดาอิสฮาก (อ.) และอีกสายหนึ่งมาจากลูกหลานของศาสดาอิสมาอีล (อ.)
นักวิจัยในด้านยิวศึกษากล่าวว่า : "ช่วงเวลาที่ความเป็นปรปักษ์ของชาวยิวเริ่มต้นขึ้นก็คือเมื่อท่านศาสดาอิสมาอีล (อ.) ได้รับเลือกในคาบสมุทรอาหรับและในมีนาในฐานะเครื่องพลี (กุรบาน) จากที่นี่ก็ชัดเจนว่า ศาสดาแห่งยุคสุดท้ายจะมาจากเชื้อสายของอิสมาอิลและมักกะฮ์จะกลายเป็นศูนย์กลางของโลก ดังนั้น บนีอิสรออีลซึ่งเป็นลูกหลานของศาสดาอิสหาก (ไอแซค) จึงเริ่มวางแผนสำหรับอนาคตเพื่อจัดการกับผลลัพธ์นี้ในอนาคตอันไกลโพ้น พวกเขาประกาศว่า ผู้ถูกเชือดพลีคืออิสหาก สถานที่เชือดพลีคือเยรูซาเล็ม และผู้ช่วยให้รอดตามสัญญาไม่ได้มาจากลูกหลานของอิสมาอีล แต่มาจากบนีอิสรออีล และนี่คือเรื่องราวของการเผชิญหน้า 3,000 ปีระหว่างบนีอิสรออีลกับบนีอิสมาอีล"
ศาสตราจารย์ซะรูสตานีกล่าวว่า : "บนีอิสมาอีล จะไม่เห็นความปลอดภัยจนกว่ารัฐบาลอันมีเกียรติ (เดาละตุลกะรีมะฮ์) ตามสัญญาจะเกิดขึ้น"
นักเขียนด้านตะวันออกศึกษาถือว่า บนีอิสมาอีลจะต้องเผชิญกับกระแสและกลุ่ม 3 กลุ่มจนกระทั่งถึงยุคของรัฐบาลโลก :
1. ชาวยิวไซออนิสต์ โครงการแม่น้ำไนล์จรดแม่น้ำยูเฟรติสในปาเลสไตน์ ฉนวนที่ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนนี้ซึ่งเป็นพรมแดนที่แยกแผ่นดินทั้งสองออกจากกัน ดินแดนส่วนนี้เป็นแหล่งกำเนิดของทุกศาสนา ทุกวัฒนธรรม อารยธรรม และภาษาต่างๆ ของโลก ศาสตราจารย์ซะรูสตานีกล่าวอธิบายเพิ่มเติมว่า : "เมื่อบนีอิสรออีลถูกลงโทษด้วยแซ่แห่งพระเจ้าหลังจากการก่อความเสียหายต่างๆ ที่ใหญ่หลวง และพระเจ้าทรงให้จักรพรรดิแห่งบาบิโลนปกครองเหนือพวกเขา พวกเขาได้บทสรุปว่าพวกเขาได้สูญเสียความเป็นผู้ถูกเลือกไปแล้ว และจะต้องอยู่ในสภาพกระจัดกระจายกันไปจนกว่าพระเมสสิยาห์จะมา พวกเขาเชื่อว่านี่เป็นชะตากรรมของพวกเขา จนกระทั่งบรรดาผู้นำชาวยิวได้สร้างทฤษฎี "แม่น้ำไนล์จรดแม่น้ำยูเฟรติส" ขึ้นมาสำหรับโครงการพระเมสสิยาห์ ด้วยเหตุนี้ การมาอยู่และการยึดครองดินแดนปาเลสไตน์จึงเป็นรากฐานทางทฤษฎีที่เกิดขึ้นจากแนวทางยุคสุดท้ายแห่งซาตานและไม่ใช่แนวทางแห่งพระเจ้า
2. คริสเตียนไซออนิสต์และโครงการอาร์มาเก็ดดอน ความลับของการสนับสนุนของสหรัฐอเมริกาและอังกฤษสามารถสรุปได้อยู่ในเรื่องนี้
คริสเตียนโปรเตสแตนต์ที่มีแนวคิดแบบไซออนิสต์อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และเยอรมนี ซึ่งก่อตั้งโดยมาร์ติน ลูเทอร์ ในศตวรรษที่ 16 โดยมีขบวนการทางศาสนา พวกเขาเข้ามารับช่วงต่อเทววิทยาของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก และกระแสความรักที่มีต่อชาวยิวกลายเป็นแกนหลักของคริสเตียนไซออนิสต์ และแกนที่สองของคำสอนของพวกเขาคือยุคสุดท้าย (อาคิรุซซะมาน) แต่ไม่ใช่ยุคสุดท้ายในความหมายของการรอคอยและนั่งกุมมือโดยไม่ทำอะไร พวกเขาเชื่อว่าเราจำเป็นต้องเริ่มสงครามแห่งยุคสุดท้ายด้วยกับอำนาจทางทหาร ทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา เพื่อที่พระคริสต์จะเสด็จมาในระหว่างนั้น ซึ่งก็คือโครงการอามาเก็ดดอน (Armageddon)
ในการอธิบายโครงการอาร์มาเก็ดดอน ผู้บรรยายอธิบายว่า : "พวกเขาเชื่อว่าในทะเลทรายมากิโด (Har Megidoo) กองกำลังสองฝ่าย คือ กองกำลังแห่งความดี (ชาวยิวและผู้สนับสนุนของพวกเขา) และกองกำลังแห่งความชั่วร้าย (ชาวอาหรับและชาวมุสลิม) จะต้องเผชิญหน้ากัน และในท้ายที่สุด ฝ่ายแห่งความดี จะขึ้นสู่อำนาจ พวกเขาเชื่อว่าการสนับสนุนบนีอิสรออีลและการสนับสนุนชาวยิวในปาเลสไตน์เป็นหน้าที่บังคับทางศาสนบัญญัติ การสนับสนุนทางการเงิน เศรษฐกิจ และการทหารเป็นหน้าที่ และหากประธานาธิบดีไม่สนับสนุน เขาจะถูกถอดถอน พวกเขามีจัดทัวร์ทางศาสนาในทะเลทรายมากิโดมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และกำลังส่งเสริมโครงการนี้ ในโครงการนี้เองที่ทำให้เกิดการหยิบยกประเด็นเกี่ยวกับการทำลายมัสยิดอัล-อักซอและการทำลายกรุงเยรูซาเล็ม (บัยตุลมักดิส)
3. อิลลูมินาติ (สมาคมลับ) ห้องคิด (Think tank) ของซาตานและประเด็นเรื่องระเบียบโลกใหม่ ในการอธิบายส่วนนี้ ศาสตราจารย์ซะรูสตานีกล่าวเสริมว่า : "อิลลูมินาติเป็นกลุ่มบุคคลที่เป็นความลับและทรงอำนาจทั้งในด้านการเมืองและเศรษฐกิจ และพวกเขากำลังมองหาอาณาจักรการปกครองระดับโลก คนกลุ่มกลุ่มนี้ รวมถึงบรรดาผู้นำและต้นกำเนิดของพวกเขาจะทำงานอยู่ในสังคมต่างๆ ที่แปดเปื้อนไปด้วยคับบาลาห์และเวทมนตร์คาถา น่าเสียดายที่ประเด็นเหล่านี้ยังไม่เป็นที่รู้จักในอิหร่านและในโลกอิสลามเท่าที่ควร และยังมีงานวิจัยเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้ไม่เพียงพอ ในขณะที่กลุ่มนี้มีอำนาจ มีการแลกเปลี่ยนและปฏิสัมพันธ์กันด้วยความช่วยเหลือจากกองกำลังลับของซาตานและอิบลิส และกำลังก้าวไปข้างหน้าผ่านการช่วยเหลือของพวกเขา จำเป็นต้องชี้ถึงว่า Bilderbergs, Wall Street, NATO และอื่นๆ เป็นกลุ่มกำลังของอิลลูมินาติ"
ศาสตราจารย์ซะรูสตานี อธิบายเกี่ยวกับความเชื่อมโยงของอิลลูมินาติกับดินแดนปาเลสไตน์ว่า : "กลุ่มนี้ต้องการบรรลุระเบียบผ่านความวุ่นวายครั้งใหญ่ ซึ่งพวกเขาประกาศว่าเป็น "ระเบียบโลกใหม่" และพวกเขากำลังมองไปที่ดินแดนปาเลสไตน์เพื่อจุดประสงค์นี้"
ในตอนท้าย อะลีเรซา ซุลตาลชาฮี นักวิจัยเกี่ยวกับยิวศึกษาได้กล่าวขอบคุณสถาบันวัฒนธรรมและศิลปะ "เมาอูด อัศร์ (อ.)" ที่ได้จัดการประชุมครั้งนี้และได้กล่าวสรุปประเด็นต่างๆ
ที่มา : mouood
แปลและเรียบเรียง : เชคมุฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ
Copyright © 2024 SAHIBZAMAN.NET- สื่อเรียนรู้สำหรับอิสระชนคนรุ่นใหม่