เมื่อโครงสร้างของชนกลุ่มหนึ่งก่อตัวขึ้นในลักษณะที่พวกเขาหันไปสู่ความดื้อรั้นอยู่เสมอ เย้ยหยันโองการต่างๆ ของพระเจ้า เป็นผู้บิดเบือนคัมภีร์และเข่นฆ่าสังหารผู้คน หลงคิดว่าตนเองเป็นประชาชาติที่เหนือกว่า และส่งต่อความคิดที่น่ากลัวนี้จากรุ่นสู่รุ่น ย่อมไม่มีผลลัพธ์เป็นอย่างอื่นนอกจากลัทธิยิวไซออนิสต์ในปัจจุบัน
ฮุจญะตุลอิสลาม ตะวักกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านมะฮ์ดะวียะฮ์ (ยุคสุดท้าย) และศาสนา ได้กล่าวถึงประเด็น "บันทึกดำมืดของชาวยิวในคัมภีร์อัลกุรอาน" ในบันทึกคัดย่อ ซึ่งเราสามารถอ่านได้ด้านล่างนี้ :
เมื่อโครงสร้างของชนกลุ่มหนึ่งก่อตัวขึ้นในลักษณะที่พวกเขาหันไปสู่ความดื้อรั้นอยู่เสมอ เย้ยหยันโองการต่างๆ ของพระเจ้า เป็นผู้บิดเบือนคัมภีร์และเข่นฆ่าสังหารผู้คน หลงคิดว่าตนเองเป็นประชาชาติที่เหนือกว่า และส่งต่อความคิดที่น่ากลัวนี้จากรุ่นสู่รุ่น ย่อมไม่มีผลลัพธ์เป็นอย่างอื่นนอกจากลัทธิยิวไซออนิสต์ในปัจจุบัน
แน่นอน เราแยกกลุ่มชาวยิวออกจากกลุ่มอาชญากรไซออนิสต์ พวกไซออนิสต์เป็นส่วนหนึ่งของชาวยิว ซึ่งมีนิสัยและพฤติกรรมเหมือนกับบรรพบุรุษของพวกเขา พวกเขาเป็นพวกที่ชอบแย่งชิงและหลั่งเลือดของผู้บริสุทธิ์ คุณลักษณะนี้จะไม่ถูกพบเห็นในทุกกลุ่มหรือนิกายของชาวยิว
พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงแนะนำคนเหล่านี้ไว้ด้วยคุณลักษณะอะไรบ้าง?
ในมุมมองทั่วไป คัมภีร์อัลกุรอานได้แนะนำชาวยิวว่าเป็นกลุ่มชนที่ดื้อรั้นและโหดร้าย และเป็นคนที่ไม่มั่นคงในศรัทธา
กรณีความดื้อรั้นของพวกเขานั้น สามารถเอ่ยถึงเรื่องราวอันโด่งดังเกี่ยวกับเรื่อง "วัว" ที่ว่าเมื่อมูซา (อ.) (โมเสส) บอกให้พวกเชือดพลีวัวและใช้ส่วนหนึ่งจากวัวที่ถูกเชือดตีไปที่ร่างของคนที่ถูกฆ่าเพื่อให้เขาจะได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งโดยการอนุมัติของพระผู้เป็นเจ้า และจะระบุตัวฆาตกรได้ พวกเขาได้ถามคำถามมากมายเกี่ยวกับประเภทของวัว สีของมัน และลักษณะอื่นๆ ของวัวที่จะนำมาเชือดพลี จนถึงขั้นที่คัมภีร์อัลกุรอานได้กล่าวว่า :
فَذَبَحُوها وَ ما کادُوا یَفْعَلُونَ
"แล้ว (ในที่สุด) พวกเขาก็เชือดมัน ในขณะที่พวกเขาเกือบจะไม่ได้ทำ (การเชือด) มัน"
(บทอัลบากอเราะฮ์ โองการที่ 71)
ที่แย่ไปกว่านั้น เมื่อพวกเขาได้รับคำสั่งข้างต้นจากมูซา (อ.) หรือโมเสส แทนที่จะขอบคุณ พวกเขากลับพูดกับศาสดามูซา (อ.) ว่า :
أَ تَتَّخِذُنا هُزُواً
" (ที่ออกคำสั่งเช่นนี้) ท่านกำลังล้อเล่นกับพวกเรากระนั้นหรือ? (เห็นเราเป็นตัวตลกอย่างนั้นหรือ?)"
ศาสดามูซา (อ.) กล่าวแก่พวกเขาว่า :
أَعُوذُ بِاللَّهِ أَنْ أَکُونَ مِنَ الْجاهِلینَ
"ฉันขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮ์ จากการที่ฉันเป็นหนึ่งในคนโง่เขลาทั้งหลาย (ที่ไม่รู้ว่าตนเองกำลังพูดอะไร!)”
(อัลกุรอานบทฮ์อัลบากอเราะฮ์ โองการที่ 67)
นี่ก็คือสิ่งซึ่งในปัจจุบันเป็นที่กล่าวถึงกันในนาม "คำคัดค้านของบนีอิสรอเอล"
กระทั่งว่าพวกเขามีประวัติอันยาวนานในการฆ่าบรรดาศาสดาของพระเจ้า ดังที่อัลกุรอานได้กล่าวกับท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) ว่า :
قُلْ فَلِمَ تَقْتُلُونَ أَنْبِیاءَ اللَّهِ مِنْ قَبْلُ إِنْ کُنْتُمْ مُؤْمِنین
"(โอ้ ศาสดาเอ๋ย!) จงกล่าว (กับพวกเขา) เถิดว่า แล้วเหตุไฉนพวกท่านถึงได้ฆ่าบรรดาศาสดาของอัลลอฮ์ก่อนหน้านี้ หากพวกท่านเป็นผู้ศรัทธา!
(อัลกุรอานบทอัลบากอเราะฮ์ โองการที่ 91)
เพียงพอแล้วสำหรับศรัทธาอันอ่อนแอของพวกเขาที่เมื่อมูซา (โมเสส) แสดงปาฏิหาริย์อันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดแก่พวกเขา และปลดปล่อยพวกเขาจากเงื้อมมือของฟาโรห์ เมื่อพวกเขาข้ามแม่น้ำไนล์ ทันใดนั้น พวกเขาก็เห็นผู้คนที่บูชารูปเคารพ พวกเขาก็คิดและกล่าวต่อมูซา (อ.) ว่า :
یا مُوسَى اجْعَلْ لَنا إِلهاً کَما لَهُمْ آلِهَةٌ
“โอ้มูซา! จงสร้างพระเจ้า (รูปเคารพสักการะ) องค์หนึ่งแก่พวกเราด้วยเถิด เช่นเดียวกับที่พวกเขามีพระเจ้า (รูปเคารพสักการะ) หลายองค์"
(อัลกุรอานบทอัลอะอ์รอฟ โองการที่ 138)
หรือการที่พวกเขาขอต่อศาสดามูซา (อ.) ให้พวกเขาได้เห็นพระเจ้าด้วยตาของพวกเขาเอง ในขณะที่ความจริงแล้วพระเจ้าไม่ใช่วัตถุที่จะสามารถมองเห็นได้ ประเด็นนี้หมายความว่าพวกเขาคิดว่า พระเจ้าทรงมีพระวรกายเหมือนรูปเคารพและสามารถปรากฏตัวได้ ณ ที่ใดที่หนึ่ง คัมภีร์อัลกุรอานได้กล่าวในเรื่องนี้ว่า :
وَإِذْ قُلْتُمْ يَا مُوسَىٰ لَن نُّؤْمِنَ لَكَ حَتَّىٰ نَرَى اللَّهَ جَهْرَةً فَأَخَذَتْكُمُ الصَّاعِقَةُ
“และ (จงรำลึกถึง) เมื่อครั้งที่พวกเจ้ากล่าวว่า : โอ้มูซา! เราจะไม่ศรัทธาต่อท่านเป็นอันขาด จนกว่าเราจะได้เห็นอัลลอฮ์โดยเปิดเผย แล้วสายฟ้าฝ่าก็ได้คร่าพวกเจ้า"
(อัลกุรอานบทอัลอะอ์รอฟ โองการที่ 55)
กระทั่งว่าพวกเขาได้ฝ่าฝืนคำสัญญาอันหนักแน่นของพระเจ้าและกล่าวหาบรรดาศาสดาผู้นำพันธสัญญาต่างๆ ของพระเจ้ามายังพวกเขาว่าเป็นผู้มุสา (กล่าวเท็จ) และพวกเขาก็สังหารศาสดาเหล่านั้น คัมภีร์อัลกุรอานได้กล่าวในเรื่องนี้ว่า :
لَقَدْ أَخَذْنا میثاقَ بَنی إِسْرائیلَ وَ أَرْسَلْنا إِلَیْهِمْ رُسُلاً کُلَّما جاءَهُمْ رَسُولٌ بِما لا تَهْوى أَنْفُسُهُمْ فَریقاً کَذَّبُوا وَ فَریقاً یَقْتُلُونَ
"แท้จริงเราได้เอาสัญญาต่อวงศ์วานอิสราอีล และเราได้ส่งบรรดาศาสนทูตมายังพวกเขา ทุกครั้งที่ศาสนทูตคนใดนำสิ่งที่จิตใจของพวกเขาไม่ชอบมายังพวกเขาแล้ว พวกเขาก็ปฏิเสธ (ศาสดา) กลุ่มหนึ่ง และก็ฆ่า (ศาสดา) อีกกลุ่มหนึ่ง"
(บทอัลมาอิดะฮ์ โองการที่ 70)
ในยุคของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) ก็เช่นเดียวกัน เมื่อพวกเขาเห็นศาสนา (อิสลาม) ที่ท่านนำมาประกาศแก่พวกเขานั้นขัดกับรสนิยมและความชอบส่วนตัวของพวกเขา พวกเขาก็ปฏิเสธสาส์น (ริซาละฮ์) ของท่าน คัมภีร์อัลกุรอานได้กล่าวในเรื่องนี้ว่า :
الَّذینَ آتَیْناهُمُ الْکِتابَ یَعْرِفُونَهُ کَما یَعْرِفُونَ أَبْناءَهُمْ وَ إِنَّ فَریقاً مِنْهُمْ لَیَکْتُمُونَ الْحَقَّ وَ هُمْ یَعْلَمُونَ
“บรรดา (ชาวยิวและชาวคริสต์) ผู้ที่เราได้ประทานคัมภีร์แก่พวกเขานั้น พวกเขาย่อมรู้จักเขา (มุฮัมมัด) ดีเหมือนกับที่พวกเขารู้จักลูกๆ ของเขาเอง และแท้จริงกลุ่มหนึ่งจากพวกเขานั้นปิดบังสัจธรรมไว้ทั้งๆ ที่พวกเขารู้"
(อัลกุรอานบทอัลบะกอเราะฮ์ โองการที่ 146)
พวกเขาไม่เพียงแต่ปฏิเสธศาสดาที่ถูกส่งมายังพวกเขาเท่านั้น ทว่าแม้แต่คัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาเอง (โตราห์และไบเบิล) ซึ่งแจ้งข่าวดีถึงการมาของศาสดาแห่งยุคสุดท้าย (คือศาสดามุฮัมมัด) และบอกถึงสัญลักษณ์ต่างๆ ของท่านไว้ พวกเขาก็ทำการเปลี่ยนแปลงและบิดเบือนเนื้อหาของคัมภีร์ คัมภีร์อัลกุรอานได้กล่าวในเรื่องนี้ว่า :
وَ إِنَّ مِنْهُمْ لَفَریقاً یَلْوُونَ أَلْسِنَتَهُمْ بِالْکِتابِ لِتَحْسَبُوهُ مِنَ الْکِتابِ وَ ما هُوَ مِنَ الْکِتابِ وَ یَقُولُونَ هُوَ مِنْ عِنْدِ اللَّهِ وَ ما هُوَ مِنْ عِنْدِ اللَّهِ وَ یَقُولُونَ عَلَى اللَّهِ الْکَذِبَ وَ هُمْ یَعْلَمُونَ
"และแท้จริงจากหมู่พวกเขานั้น มีกลุ่มหนึ่งบิดลิ้นของพวกเขาใน (การอ่าน) คัมภีร์ (โตราห์ โดยการบิดเบือน ตัดทอนและเพิ่มเติมตามความพอใจของตนเอง) ทั้งๆ ที่มันมิได้มาจากคัมภีร์ และพวกเขากล่าวว่า มันมาจาก ณ อัลลอฮ์ทั้งๆ ที่มันมิใช่มาจาก ณ อัลลอฮ์ และพวกเขาอ้างเท็จต่ออัลลอฮ์ ทั้งๆ ที่พวกเขาก็รู้ดี"
(บทอาลิอิมรอน โองการที่ 78)
พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงสาปแช่งพวกเขาและทรงทำให้จิตใจของพวกเขาแข็งกระด้าง อัลกุรอานได้กล่าวในเรื่องนี้ว่า :
فَبِما نَقْضِهِمْ میثاقَهُمْ لَعَنَّاهُمْ وَ جَعَلْنا قُلُوبَهُمْ قاسِیَةً یُحَرِّفُونَ الْکَلِمَ عَنْ مَواضِعِه
"ดังนั้น ด้วยเหตุการณ์ที่พวกเขาทำลายสัญญาของพวกเขา เราจึงได้สาปแช่ง (ขับพวกเขาออกจากความเมตตาของเรา) และทำให้หัวใจของพวกเขาแข็งกระด้าง พวกเขากระทำการบิดเบือนบรรดาถ้อยคำให้เฉออกจากตำแหน่งของมัน"
(บทอัลมาอิดะฮ์ โองการที่ 13)
พวกเขายังเป็นพวกกินดอกเบี้ยและบริโภคทรัพย์สมบัติของประชาชนอย่างไร้ความชอบธรรม คัมภีร์อัลกุรอานได้กล่าวในเรื่องนี้ว่า :
وَ أَخْذِهِمُ الرِّبَوا وَ قَدْ نُهُوا عَنْهُ وَ أَکْلِهِمْ أَمْوالَ النَّاسِ بِالْباطِل
"และเนื่องด้วยการที่พวกเขาเอาดอกเบี้ย ทั้ง ๆ ที่พวกเขาถูกห้ามในเรื่องนั้น และเนื่องด้วยการที่พวกเขาบริโภคทรัพย์ของผู้คนโดยมิชอบ"
(บทอันนิซาอ์ โองการที่ 161)
แม้จะมีปัญหาทั้งหมดเหล่านี้ พวกเขาก็ยังถือว่าตนเองเป็นชนชาติที่เหนือกว่าชนชาติอื่นๆ ซึ่งคัมภีร์อัลกุรอานก็กล่าวเกี่ยวกับพวกเขาว่า :
وَ قالَتِ الْیَهُودُ وَ النَّصارى نَحْنُ أَبْناءُ اللَّهِ وَ أَحِبَّاؤُهُ
"ชาวยิวและคริสเตียนกล่าวว่า : "เราเป็นบุตรของพระเจ้าและเป็นที่รักยิ่งของพระองค์"
(บทอัลมาอิดะฮ์ โองการที่ 18)
หรือพวกเขาจะกล่าวว่า :
لَنْ تَمَسَّنَا النَّارُ إِلاَّ أَیَّاماً مَعْدُودَةً
"ไฟนรกนั้นจะไม่สัมผัสพวกเราหรอก นอกจากเพียงไม่กี่วันเท่านั้น"
(บทอัลบะกอเราะฮ์ โองการที่ 80)
ในมุมมองทั่วไป คัมภีร์อัลกุรอานได้แนะนำคนเหล่านี้ว่าเป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุด โดยกล่าวว่า :
لَتَجِدَنَّ أَشَدَّ النَّاسِ عَداوَةً لِلَّذینَ آمَنُوا الْیَهُودَ وَ الَّذینَ أَشْرَکُوا
"แน่นอนเจ้าจะพบว่า หมู่ชนที่เป็นศัตรูที่รุนแรงที่สุดต่อบรรดาผู้ที่ศรัทธานั้นคือชาวยิวและบรรดาผู้ที่ตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์"
(บทอัลมาอิดะฮ์ โองการที่ 82)
ในยุคปัจจุบันพวกเขาเป็นชนชาติที่สามารถเข้าถึงอาวุธชนิดต่างๆ และพลังงานปรมาณู พวกเขาจะคว่ำบาตรประเทศอื่นๆ ที่ไม่ร่วมมือกับพวกเขาในด้านอุปกรณ์นิวเคลียร์ นอกจากนั้น การคว่ำบาตรและปัญหาทุกประเภทที่เกิดขึ้นในประเทศของเรา รวมถึงแรงกดดันทางเศรษฐกิจ ความวิปริตทางวัฒนธรรมและอื่นๆ มีรากฐานมาจากการออกแบบและการวางแผนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มหลักของนักคิดชาวยิวและบรรดาผู้ที่สัมพันธ์อยู่กับพวกเขา องค์กรฟรีเมสัน (Freemasonry) ที่มีความลึกลับทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมของกลุ่มนี้
บทความโดย : เชคมูฮัมมัดนาอีม ประดับญาติ
Copyright © 2017 SAHIBZAMAN.NET- สื่อเรียนรู้อิสลามสำหรับอิสระชนคนรุ่นใหม่