อิหร่านได้รำลึกถึงวันครบรอบ 18 ปีของสงครามเลบานอนในปี 2549 โดยกล่าวว่า ความขัดแย้งกับอิสราเอลที่กินเวลานาน 33 วัน ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านกลุ่มไซออนิสต์
18 ปีที่แล้ว อิสราเอลได้เปิดฉากโจมตีทางทหารเต็มรูปแบบต่อเลบานอน แต่กองกำลังฮิซบุลลอฮ์สามารถเอาชนะกองทหารของระบอบการปกครองของอิสราเอลและบังคับให้ต้องล่าถอยอย่างน่าอับอาย โดยไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ใด ๆ ของเทลอาวีฟได้เลย
สงครามเริ่มต้นในวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 และดำเนินต่อไปจนกระทั่งข้อตกลงหยุดยิงที่ดำเนินการโดยสหประชาชาติมีผลใช้บังคับในเช้าวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2549 แม้ว่าจะสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการในวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2549 เมื่อระบอบการปกครองอิสราเอลถูกบังคับให้ถอนการปิดล้อมทางทะเลต่อเลบานอน
ในแถลงการณ์เมื่อวันอังคาร (13 ส.ค.) กระทรวงต่างประเทศของอิหร่านแสดงความยินดีต่อประชาชน รัฐบาล กองทัพ และกลุ่มต่อต้านของเลบานอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อนายซัยยิด ฮัสซัน นัสรุลลอฮ์ เลขาธิการกลุ่มต่อต้านฮิซบุลลอฮ์แห่งเลบานอน และกลุ่มต่อต้านต่าง ๆ ในวาระครบรอบ 18 ปีของ "ชัยชนะอันรุ่งโรจน์ของเหล่าบุตรผู้กล้าหาญของกลุ่มต่อต้านของอิสลามแห่งเลบานอนในสงคราม 33 วันเมื่อปี 2549"
กระทรวงต่างประเทศของอิหร่านกล่าวว่า “สงคราม 33 วันกลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งความอดทนและความเข้มแข็งของชาวเลบานอนต่อการต่อต้านระบอบไซออนิสต์ และจะถูกจดจำตลอดไปว่าเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ในจิตใจของประชาชนในภูมิภาค”
สงครามเลบานอนในปี พ.ศ. 2549 เริ่มต้นขึ้นเมื่อกองทัพอิสราเอลโจมตีทางอากาศต่อเมืองต่าง ๆ ของเลบานอน รวมทั้งตำแหน่งของกลุ่มฮิซบุลลอฮ์ ส่งผลให้บ้านเรือนหลายพันหลังถูกทำลาย และมีพลเรือนเลบานอนเสียชีวิตมากกว่า 1,000 ราย
ชาวอิสราเอลอย่างน้อย 162 คน รวมถึงทหาร 119 นาย เสียชีวิตระหว่างการสู้รบ เมื่อเทลอาวีฟตระหนักว่าไม่สามารถทิ้งระเบิดใส่กลุ่มฮิซบุลลอฮ์ได้ จึงยอมรับมติสหประชาชาติ 1701 เพื่อยุติสงคราม
แถลงการณ์ระบุว่า “วันที่ 23 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันต่อต้านของอิสลาม ดังคำกล่าวของอยาตุลลอฮ์ ซัยยิด อาลี คาเมเนอี ผู้นำการปฏิวัติอิสลามผู้ชาญฉลาด ว่าเป็น ‘วันที่กลุ่มต่อต้านและกลุ่มฮิซบุลลอฮ์ฟื้นคืนศักดิ์ศรีให้กับโลกอาหรับและอิสลาม’ ด้วยการล่มสลายของอำนาจที่ไร้เหตุผลของระบอบไซออนิสต์ ต้นไม้แห่งการต่อต้านผู้ยึดครองและผู้รุกรานจากกลุ่มไซออนิสต์จึงแข็งแกร่งและยืนหยัดมากขึ้น”
กระทรวงฯ กล่าวว่า “ชัยชนะอันยอดเยี่ยม” ของกลุ่มต่อต้านของอิสลาม ซึ่งได้รับชัยชนะจากความสามัคคีและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันระหว่างนิกายต่าง ๆ และความมุ่งมั่นร่วมกันของประชาชนผู้กล้าหาญและอดทนของเลบานอน ได้ “ทำให้เกิดเสถียรภาพและความปลอดภัย นำความภาคภูมิใจและเกียรติยศมาสู่ประชาชนเลบานอนและภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวรบต่อต้านพวกยึดครองไซออนิสต์”
กระทรวงฯ ยังเน้นย้ำด้วยว่า จุดยืนที่มีหลักการของอิหร่านในการสนับสนุนการต่อต้านและต่อต้านระบอบไซออนิสต์นั้นได้รับการพิสูจน์แล้วอีกครั้งในช่วง 18 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่การต่อต้านครั้งประวัติศาสตร์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของอิสราเอลที่กินเวลานานกว่า 10 เดือนในฉนวนกาซาที่ถูกปิดล้อม ซึ่งคร่าชีวิตชาวปาเลสไตน์ไปเกือบ 40,000 คน และทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บอีกมากกว่า 100,000 คน
“จุดยืนดังกล่าวเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการสนับสนุนอย่างรอบด้านจากประเทศต่าง ๆ และชาติต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศอิสลามและประเทศที่แสวงหาความยุติธรรม เพื่อความมั่นคงของชาวปาเลสไตน์และแนวรบต่อต้านศัตรูไซออนิสต์ ซึ่งถือเป็นทางเลือกเชิงยุทธศาสตร์เพียงทางเดียวในการเรียกร้องสิทธิที่สูญเสียไปของชาวปาเลสไตน์ รวมทั้งของประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค และเพื่อการปลดปล่อยปาเลสไตน์และนครเยรูซาเล็มอันศักดิ์สิทธิ์”
เลบานอนต่อสู้กับสงครามกับอิสราเอล 2 ครั้งในปี 2543 และ 2549 โดยขบวนการต่อต้านของเลบานอนที่เรียกว่าฮิซบลลอฮ์มีบทบาทสำคัญในทั้ง 2 ครั้ง โดยบีบบังคับให้กองทัพอิสราเอลต้องล่าถอย
ฮิซบุลลอฮ์ก่อตั้งขึ้นเพื่อตอบโต้การรุกรานและยึดครองเลบานอนตอนใต้ของอิสราเอลในปี ค.ศ. 1982 ซึ่งในท้ายที่สุดก็สามารถขับไล่กองกำลังอิสราเอลออกไปได้ในเดือนพฤษภาคม 2000 นับแต่นั้นเป็นต้นมา ขบวนการนี้ก็ได้พัฒนาเป็นกำลังทหารที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้กองทัพอิสราเอลต้องสูญเสียกำลังพลไปจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงสงคราม 33 วันในเดือนกรกฎาคม 2006
ที่มา : สำนักข่าวเพรสทีวี
Copyright © 2024 SAHIBZAMAN.NET- สื่อเรียนรู้สำหรับอิสระชนคนรุ่นใหม่