ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ (ซ็อลฯ) กล่าวว่า : “โอ้ อะลี! จงรู้เถิดว่า มนุษย์ที่มีศรัทธาที่น่าอัศจรรย์สุดและมีความเชื่อมั่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั้นคือกลุ่มชนที่จะเกิดขึ้นในยุคสุดท้าย พวกเขาไม่ทันเห็นท่านศาสดาและฮุจญะฮ์ (อิมาม) ก็เร้นหายไปจากพวกเขา แต่พวกเขาก็ศรัทธาด้วยสีดำบนสีขาว (สิ่งที่ถูกบันทึกไว้)”
พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงสูงส่ง คือ "ผู้ทรงมีเกียรติยศและศักดิ์ศรี" พระองค์ทรงสร้าง "มนุษย์" ผู้มีความประเสริฐที่สุดท่ามกลางสิ่งถูกสร้างของพระองค์ ในลักษณะที่ผสมผสานไปด้วยกับความมีเกียรติยศและศักดิ์ศรี พระองค์จะทรงพึงพอพระทัยยิ่งต่อปวงบ่าวที่รู้จักสถานะของตนเองและเป็น "มนุษย์" อย่างแท้จริง เห็นคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ในตัวเอง มีการระมัดระวังตนจากปัจจัยต่างๆ ที่จะทำให้ตนเองไร้เกียรติศักดิ์ศรีและไร้คุณค่า
สรรพสิ่งทั้งมวลที่มีอยู่ในจักรวาลนี้ ในแง่ของการสร้างแล้วสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ :- สิ่งที่มีมิติทางด้านวัตถุเพียงอย่างเดียว - สิ่งที่มีมิติทางด้านจิตวิญญาณเพียงอย่างเดียว - สิ่งที่มีทั้งสองมิติ คือมีทั้งมิติทางด้านวัตถุและมิติทางด้านจิตวิญญาณรวมอยู่ในตัวเอง และท่ามกลางสรรพสิ่งดำรงอยู่ทั้งมวลนี้ พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างได้ทรงบันดาลให้บางส่วนของมันมีความประเสริฐเหนือกว่าอีกบางส่วน...
ในเนื้อหาส่วนหนึ่งของบท "ซอละวาต ชะอ์บานียะฮ์" ของท่านอิมามซัจญาด (อ.) อะฮ์ลุลบัยต์ (อ.) เปรียบเสมือนนาวาแห่งความปลอดภัยในท่ามกลางกระแสคลื่นที่โหมกระหน่ำ ผู้ใดก็ตามที่ขึ้นโดยสารมัน เขาก็จะปลอดภัย และผู้ใดก็ตามที่แยกตัวออกไปจากนาวานี้เขาก็จะจมน้ำตาย
คำสอนประการหนึ่งของอิสลามซึ่งได้ถูกแนะนำและกำชับไว้อย่างมากในคัมภีร์อัลกุรอาน และในหะดีษ (วจนะ) ของอะฮ์ลุลบัยติ์ (อ.) คือประเด็น "ความอดทน" ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์ อัซซะฮ์รอ (อ.) ได้อธิบายถึงปรัชญาของความจำเป็นในการมีความอดทนไว้ในหะดีษ (วจนะ) บทหนึ่ง
อิสติอาซะฮ์ (การขอความคุ้มครอง) ในวัฒนธรรมคำสอนของอิสลาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคัมภีร์อัลกุรอาน คือ การวิงวอนขอ (ดุอาอ์) ซึ่งมนุษย์เพื่อที่จะปัดป้องความชั่วร้าย จะนำพาตัวเองเข้าอยู่ภายใต้การคุ้มครองของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสูงส่งโดยผ่านการขอความคุ้มครองนี้
มี 800 ผู้มาเยือน และ ไม่มีสมาชิกออนไลน์ ออนไลน์